คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนหรือหลังนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นชอบ จะต้องโต้แย้งไว้จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว หากไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมทั้งดอกเบี้ยหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระแทนจนครบ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ทราบว่าหนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์นั้น ได้มีการชำระกันเสร็จไปแล้ว โจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี สัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย การค้ำประกันก็ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินที่ค้างแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นให้จำเลยนำสืบก่อน ไม่ชอบและจำเลยชำระหนี้แล้ว

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเรื่องหน้าที่นำสืบ จำเลยมิได้แถลงโต้แย้งไว้จึงอุทธรณ์ไม่ได้ และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้แถลงคัดค้านเรื่องหน้าที่นำสืบไว้ดังอ้าง คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนหรือหลังนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นชอบ ต้องโต้แย้งไว้ จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำสั่งนี้ไว้ จึงไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้หมดดังข้อต่อสู้

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ 1

Share