คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญา จำเลยถอนฎีกาโดยกล่าวว่าขอถอนชั่วคราวเพื่อไปจัดทำฎีกามายื่นใหม่เมื่อศาลอนุญาตแล้วจำเลยย่อมมีสิทธิยื่นฎีกาใหม่ภายในอายุความฎีกา
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2503)
โจทก์กล่าวฟ้องมีสาระสำคัญว่าจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทปราศจากการระมัดระวังเป็นเหตุให้รถของจำเลยชนและทับผู้ตายซึ่งเดินอยู่ข้างทางถึงแก่ความตายทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงแม้เมื่อเข้าทางโค้งก็มิได้ลดความเร็ว เป็นเหตุให้รถจำเลยชนเสาบอกแนวโค้งของถนนแล้วแฉลบไปชนผู้ตายซึ่งเดินอยู่ข้างทางถึงแก่ความตายดังนี้ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 3 ปี เพราะจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนนายหลวยตาย

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2502

จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2502 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวเฉพาะข้อ 2 ข. ซึ่งจำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับคำฟ้อง

ต่อมาวันที่ 22 กรกฎาคม 2502 จำเลยยื่นคำร้องขอถอนฎีกาอ้างว่า เพื่อจะได้ไปจัดทำฎีกามายื่นใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต

วันที่ 24 กรกฎาคม 2502 จำเลยทำฎีกายื่นขึ้นมาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย 2 ข้อ

ปัญหามีว่า ฎีกาของจำเลยซึ่งยื่นใหม่นี้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่มีความเห็นว่า เพราะในการร้องขอถอนฎีกาฉบับแรก จำเลยก็ได้ระบุไว้ว่าขอถอนชั่วคราวเพื่อไปจัดทำฎีกามายื่นใหม่ และศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาต ทั้งฎีกาที่ยื่นใหม่จำเลยก็ยื่นภายในกำหนดอายุความฎีกาจึงรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาได้

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องและว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีพยานสนับสนุน นั้นในปัญหาแรก ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า สาระสำคัญที่โจทก์กล่าวหาอยู่ที่ว่า จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทปราศจากการระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถของจำเลยชนและทับผู้ตายซึ่งเดินอยู่ข้างทางถึงแก่ความตาย ทางพิจารณาก็ได้ความทำนองนี้คือ จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูง แม้เมื่อเข้าทางโค้งก็มิได้ลดความเร็ว เป็นเหตุให้รถจำเลยชนเสาบอกแนวโค้งของถนนแล้วแฉลบไปชนผู้ตายซึ่งเดินอยู่ข้างทางถึงแก่ความตาย ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าสาระสำคัญที่โจทก์หาว่าจำเลยทำให้คนตายโดยประมาทตามที่กล่าวในฟ้องมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความในชั้นพิจารณาแต่ประการใดในปัญหาหลัง ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยมีพยานหลักฐานในท้องสำนวนสนับสนุนอยู่แล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share