แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ของโจทก์ไว้ต่อโจทก์ว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ หากปฏิบัติงานด้วยความประมาทหรือเจตนาทุจริต หรือทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอก ฉ้อโกง อันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 4 ยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ การที่ผู้จัดการโจทก์ได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ทำหน้าที่เคลีย์ริ่งไปแลกเงินที่กระทรวงการคลัง เมื่อขับรถไประหว่างทาง จำเลยที่ 2 ได้แวะไปถ่ายอุจจาระเสีย แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์และไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์นั้นไปตามลำพัง เป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นที่จอดอยู่ข้างทางโดยประมาทและทำให้โจทก์เสียหาย ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดความระมัดระวังตามวิสัยของปกติชน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โดยตรง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นพนักงานเคลียริ่งและพนักงานขับรถยนต์ของโจทก์ตามลำดับ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกันในการเข้าเป็นพนักงานธนาคารโจทก์ สาขาบางเขน ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตามลำดับ โดยจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้ทำสัญญาไว้ต่อธนาคารโจทก์มีสาระสำคัญอย่างเดียวกันว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑และที่ ๒ เป็นพนักงานธนาคารโจทก์ หากได้ปฏิบัติงานด้วยความประมาทหรือเจตนาทุจริตหรือทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอก ฉ้อโกง อันเป็นเหตุให้ธนาคารโจทก์ได้รับความเสียหายไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ก็ตาม จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ภายในวงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๔ ผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางเขน ได้มอบให้จำเลยที่ ๑ ไปแลกเหรียญบาทและธนบัตรย่อยที่กระทรวงการคลังโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ขับรถยนต์ไทยอัมพ์ของโจทก์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฐ ๗๑๘๗ ในระหว่างเดินทางจำเลยที่ ๒ ได้กระทำโดยประมาทละเลยต่อหน้าที่ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ของธนาคารโจทก์ และไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้มีใบอนุญาตขับรถยนต์ ขับขี่รถยนต์ของโจทก์คันดังกล่าวไป ภายหลังที่จำเลยที่ ๑ แลกเงินเสร็จแล้ว ระหว่างเดินทางกลับ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ของโจทก์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังอันควรเป็นวิสัยของผู้ขับรถ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์และรถยนต์ของนายอำไพ ทัศนีย์เวช เสียหาย โจทก์ในฐานะนายจ้างต้องจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ทั้งสองคันแทนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไปทั้งหมดเป็นเงิน ๓๕,๓๔๗ บาทตามเอกสารท้ายฟ้อง แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓,๓๓๖ บาท ๘๒ สตางค์ ยังเหลือเงินที่จะค้างชำระอีก ๓๒,๐๑๐ บาท ๑๘ สตางค์ โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสี่ให้ชดใช้แก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาจำเลยทั้งนี่รับผิดใช้เงิน ๓๒,๐๑๐ บาท ๑๘ สตางค์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า วันเกิดเหตุเมื่อแลกธนบัตรและเหรียญบาทแล้ว จำเลยที่ ๑ จะกลับธนาคารโจทก์ แต่จำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ โดยทิ้งรถและกุญแจไว้ จำเลยที่ ๑ รอร่วมอยู่ชั่วโมง เห็นว่าจะเสียหายแก่ธนาคารจึงตัดสินใจขับรถกลับธนาคาร เมื่อถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์ประจำทางแล่นสวนทางมาด้วยความเร็วสูง และแล่นกินทางเข้ามา จำเลยที่ ๑ จังหักรถหลบเข้าข้างทางและไปชนท้ายรถของนายอำไพซึ่งจอดอยู่ข้างทาง ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุ มิใช้เพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายเกินความเป็นจริง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ให้การว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โจทก์ไประหว่างทางจำเลยที่ ๒ ปวดท้อง จึงแวะถ่ายอุจจาระทีห้องส้วมทำเนียบรัฐบาล จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมรอ กลับขับรถไปเอง และจะขับรถโดยประมาทอย่างไรนั้น จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะมิได้ประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของโจทก์ไป เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้ประมาทในการขับรถยนต์ของโจทก์ จำเลยที่ ๔ ก็ไม่ต้องชดใช้เงินโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน ค่าซ่อมรถสูงเกินความจำเป็น
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นพนักงานเคลียริ่งของธนาคารโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ ๑ ขับรถนอกเหนือหน้าที่เพื่อประโยชน์ของโจทก์อยู่บ่อย ๆ โจทก์ทราบและไม่ทักท้วง ถือว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติไปตามที่โจทก์ใช้อีกหน้าที่หนึ่ง จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้เงิน ๓๒,๐๑๐ บาท ๑๘ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๓๐๐ บาทแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่ ๓ และที่ ๔
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๔ รับผิดร่วมด้วยในวงเงินค้ำประกัน ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ด้วยภายในวงเงินค้ำประกัน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลที่ค้ำประกันไว้ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๔ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานทำหน้าขับรถยนต์ของโจทก์ได้รับคำสั่งจากผู้จัดการโจทก์ สาขาบางเขน ให้ขับรถยนต์โจทก์พาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ทำหน้าที่เคลีย์ริ่งไปแลกเงินที่กระทรวงการคลัง เมื่อขับรถไประหว่างทาง จำเลยที่ ๒ ได้แวะไปถ่ายอุจจาระ แล้วยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์และไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์โจทก์ไปตามลำพัง เป็นเหตุให้ชนรถท้ายรถยนต์ของนายอำไพ ทัศนีย์เวช ที่จอดอยู่ข้างทางโดยประมาทและโจทก์ได้รับความเสียหาย เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ ขาดความระมัดระวังตามวิสัยของปกติชน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โดยตรง จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหมาย จ.๓ ข้อที่ ๒ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๔ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๒๐๐ บาท แทนโจทก์