คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดในราชอาณาจักร มีบิดาเป็นคนต่างด้าวและได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาแต่ พ.ศ.2491 แล้ว ขณะฟ้องก็ยังถือใบสำคัญดังกล่าวอยู่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 โจทก์จึงเสียสัญชาติไทยไปโดยผลแห่งกฎหมาย
แม้บิดาโจทก์เป็นผู้จัดการขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาให้โจทก์เพื่อไปศึกษายังต่างประเทศ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ไปยังคงถือใบสำคัญต่อมา โจทก์ได้ไปขอเปลี่ยนสมุดใบสำคัญใหม่ใน พ.ศ.2498 ขอต่ออายุใบสำคัญมาจนถึง พงศ.2508 อันเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์ขอกลับคืนสัญชาติไทยไม่ได้ผลแล้ว จึงไม่ขอต่ออายุใบสำคัญอีก การได้ใบสำคัญทำให้โจทก์ไม่ต้องเข้าตรวจคัดเลือกเพื่อเป็นทหาร ได้ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญเมื่อเข้าทำงานเป็นลูกจ้างสถานทูต แจ้งต่อมหาวิทยาลัยตอนเข้าศึกษาว่าเป็นคนสัญชาติอังกฤษ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์สมัครใจขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเป็นคนสัญชาติอังกฤษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นคนสัญาชาติไทย ให้จำเลยสั่งเจ้าพนักงานจดทะเบียนแก้สัญชาติของโจทก์ ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวด้วยความสมัครใจไปเป็นคนสัญชาติอังกฤษ โจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่าโจทก์เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย บิดาเป็นคนเชื้อชาติแขกปาทาน สัญชาติอังกฤษ มารดาเป็นคนเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย โจทก์มีภูมิลำเนาและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในประเทศไทยตลอดมา เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะที่โจทก์อายุ ๑๙ ปี โจทก์ได้ขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเป็นคนสัญชาติอังกฤษ ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๖ โจทก์ขอกลับคืนมาถือสัญชาติไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตครั้น พ.ศ.๒๕๐๘ ได้มีพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ออกใช้บังคับในมาตรา ๒๑ ได้บัญญัติว่า “ผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทย โดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว ถ้าได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้วให้เสียสัญชาติไทย” ดังนี้โจทก์ผู้ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดจะเสียสัญชาติไทยไปโดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาแต่ พ.ศ.๒๔๙๑ แล้ว ขณะนี้ก็ยังถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนั้นอยู่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ โจทก์จึงเสียสัญชาติไทยไปโดยผลแห่งกฎหมาย
ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์สมัครใจขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือไม่นั้น เห็นว่าถึงจะฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าบิดาเป็นผู้จัดการขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาให้โจทก์เพื่อให้ศึกษายังต่างประเทศก็ตาม แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไปและยังคงถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อมาโจทก์ได้ไปขอเปลี่ยนสมุดใบสำคัญประจำตัวคน ต่างด้าวใหม่ใน พ.ศ.๒๔๙๘ ทั้งได้ขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาทุกปีจนถึง พ.ศ.๒๕๐๘ อันเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ขอกลับคืนสัญชาติไทยไม่ได้ผลแล้ว โจทก์จึงไม่ขอต่ออายุใบสำคัญนั้นอีก ในพ.ศ.๒๔๙๑ โจทก์มีอายุจะครบกำหนดเข้ารับการตรวจคัดเลือกเพื่อรับราชการทหาร การได้ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจึงทำให้โจทก์ไม่ต้องเข้าตรวจคัดเลือกเพื่อเป็นทหารแต่อย่างใด ต่อมาโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในสถานทูตออสเตรเลีย โจทก์ได้ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และเมื่อโจทก์เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โจทก์ก็ได้แจ้งต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติอังกฤษ พฤติการณ์ดังกล่าวมานี้แสดงว่าโจทก์สมัครใจขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเป็นคนสัญชาติอังกฤษ
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share