คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ โดยปลูกพืชเกษตรกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นมะพร้าว ต้นจาก และต้นพุทรา ซึ่งพืชเหล่านี้ไม่ใช่พืชไร่ ดังนั้น จากคำให้การดังกล่าวการทำเกษตรกรรมของจำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นการทำนาตามความหมายของ มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 กรณีจึงเป็นเรื่องการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่นนอกจากการเช่านา ต้องนำมาตรา 63 มาใช้บังคับ เมื่อปรากฏว่าขณะพิพาทยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและเมื่อเป็นการเช่าที่ดินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยก็ไม่อาจยกเอาการเช่านี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยและบริวารให้ออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดินเดิมโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและได้ปลูกพืชเกษตรกรรม จึงได้รับการคุ้มครองโดยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ การบอกเลิกสัญญาเช่า โจทก์ต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อจำเลยพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่า และส่งสำเนาหนังสือบอกกล่าวต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหรือจังหวัดแล้วแต่กรณีการที่โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งไปยังจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ในชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ๑.จำเลยอาศัยหรือเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ ๒. จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ และ ๓. เรื่องค่าเสียหาย และสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นในประเด็นข้อ ๑ และข้อ ๒ ส่วนประเด็นข้อ ๓ โจทก์ยอมรับเท่าที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยว่า การเช่าที่ดินพิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ยันโจทก์ไม่ได้ จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทเป็นการละเมิดส่วนประเด็นว่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่เป็นอันตกไป พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากคำให้การของจำเลย พืชเกษตรกรรมที่จำเลยให้การว่าปลูกนั้น ส่วนใหญ่เป็นต้นมะพร้าว ต้นจากและต้นพุทธรา ซึ่งพืชเหล่านี้ไม่ใช่พืชไร่ การทำเกษตรกรรมของจำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นการทำนาตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา ๒๑ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ กรณีนี้จึงต้องนำมาตรา ๖๓ มาใช้บังคับ ตามบทบัญญัติดังกล่าวการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่นนอกจากการเช่านา เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรให้มีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้มีอำนาจกระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ปรากฏว่าขณะนี้ไม่มีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่นดังนั้น จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อนึ่ง เมื่อเป็นการเช่าที่ดินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจำเลยก็ไม่อาจยกเอาการเช่านี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๓๘
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share