คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2468/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อเรือจาก รัฐบาลสหภาพพม่าซึ่งยึดเรือไว้เพราะเรือดังกล่าวทำผิดกฎหมายโดยทำ การประมงเข้าไปใน เขตน่านน้ำของ ประเทศสหภาพพม่า เป็นเพียงการ ซื้อสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้นำเรือกลับคืนประเทศไทยได้เมื่อโจทก์ ขายสิทธิให้แก่จำเลยจึงมิใช่การ ซื้อขายเรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคแรกไม่จำต้องทำ เป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ค่าอ้างเอกสารเป็น ค่าธรรมเนียมอื่นๆเมื่อโจทก์มิได้จงใจที่จะไม่ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวและศาลเห็นว่าเป็น พยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)ก็ให้ อำนาจศาล รับฟังพยานหลักฐานนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน จำนวน 1,068,750 บาทพร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี ของ ต้นเงิน 1,000,000 บาทนับแต่ วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า เช็คพิพาท ซึ่ง จำเลย สั่งจ่าย นั้น มีมูล หนี้มาจาก การ ซื้อ ขาย เรือประมง 2 ลำ ซึ่ง การ ซื้อ ขาย เรือประมง ดังกล่าวซึ่ง มี ระวาง เกินกว่า 5 ตัน มิได้ จดทะเบียน ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่ย่อม ตกเป็น โมฆะ จำเลย จึง ไม่ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ จำเลย ชำระ เงิน จำนวน 1,068,750 บาทแก่ โจทก์ พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี ของ ต้นเงิน1,000,000 บาท นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกาของ จำเลย ว่า จำเลย จะ ต้อง รับผิด ใช้ เงิน ตามเช็ค ให้ แก่ โจทก์ หรือไม่ซึ่ง จำเลย ฎีกา ว่าการ ซื้อ ขาย เรือ ระหว่าง โจทก์ และ จำเลย เป็น การซื้อ ขาย เรือยนต์ มี ระวาง ตั้งแต่ 5 ตัน ขึ้น ไป และ เป็น การ ซื้อ ขาย เสร็จเด็ดขาด เมื่อ ไม่ได้ จดทะเบียน ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่ จึง เป็น โมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก จำเลย จึงไม่ต้อง รับผิด ใช้ เงิน ตามเช็ค ให้ แก่ โจทก์ นั้น จึง มี ปัญหา ว่า สัญญาซื้อ ขาย เรือ ตาม เอกสาร หมาย ล. 6 มีผล บังคับ ได้ หรือไม่ เพียงใดได้ความ ตาม เอกสาร หมาย ล. 6 ว่า เรือ เดชสถาพร และ เรือ ก.เดชวัฒนา มี ชื่อ นาย สุรชัยและนายโกวิทย์ เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ตามลำดับ แต่ เรือ ทั้ง สอง ลำ ดังกล่าว ได้ ทำการ ประมง เข้า ไป ใน เขตน่านน้ำ ประเทศ สหภาพพม่า จึง ถูก เจ้าหน้าที่ ของ ประเทศ สหภาพพม่า จับกุม และ ยึด เรือ ไว้ โจทก์ เป็น ผู้ประมูล ซื้อ เรือ ดังกล่าว จากเจ้าหน้าที่ ของ ประเทศ สหภาพพม่า แล้ว มา ทำ สัญญา ขาย ต่อ ให้ แก่ จำเลย ซึ่ง ข้อเท็จจริง นี้ จำเลย ก็ ทราบ ดี อยู่ แล้ว ว่า โจทก์ ไม่ใช่ เจ้าของ เรือทั้ง สอง ลำ ดังกล่าว ไม่สามารถ ที่ จะ ทำการ โอน กรรมสิทธิ์ เรือ ทั้ง สอง ลำให้ แก่ จำเลย ได้ จึง ได้ มี ข้อความ ตาม เอกสาร หมาย ล. 6 ข้อ 5 ว่าค่าธรรมเนียม ต่อ ใบอนุญาต ใช้ เรือ ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม การ โอน เรือและ ค่าภาษี การ โอน หาก มี ระหว่าง เจ้าของ เรือ เดิม กับ ผู้ซื้อ ผู้ซื้อเป็น ผู้ เสีย ฝ่ายเดียว และ มี ข้อความ ตาม เอกสาร หมาย ล. 6 ข้อ 6 อีก ว่าเรือ ก.เดชวัฒนา เดิม เป็น ของ พี่เขย ผู้ซื้อ และ เรือ เดชสถาพร เป็น ของ เพื่อน ผู้ซื้อ ไว้ จึง เป็น ที่ เห็น ได้ว่า ขณะที่ โจทก์ และ จำเลย ทำ สัญญากัน นั้น ทั้ง สอง ฝ่าย ต่าง ทราบ ดี อยู่ แล้ว ว่า ประเทศ สหภาพพม่า หรือ รัฐบาลสหภาพพม่า ก็ ไม่ใช่ เจ้าของ กรรมสิทธิ์ เรือ ทั้ง สอง ลำ นั้น แต่ รัฐบาลสหภาพพม่า มีสิทธิ ยึด เรือ ไว้ เพราะ ทำ ผิด กฎหมาย ของ ประเทศ สหภาพพม่า ดังนั้น ที่ โจทก์ ซื้อ เรือ ทั้ง สอง ลำ จาก ประเทศ สหภาพพม่า จึง เป็น เพียง การ ซื้อ สิทธิ ที่ จะ ได้รับ อนุญาต ให้ นำ เรือ กลับ ประเทศ ไทย ได้ เท่านั้น ดังนั้น ที่ โจทก์ ขาย สิทธิ ดังกล่าวให้ แก่ จำเลย จึง เป็น การ ขาย สิทธิ จะ ได้รับ เรือ คืน จาก ประเทศ สหภาพพม่า มิใช่ การ ซื้อ ขาย เรือ ตาม ที่ บัญญัติ ไว้ ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก ข้อตกลง ระหว่าง โจทก์ และ จำเลย ตาม เอกสารหมาย ล. 6 จึง ไม่จำต้อง ทำ เป็น หนังสือ และ จดทะเบียน ต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ มีผล บังคับ ได้ และ ไม่เป็น โมฆะ ดัง ที่ จำเลย ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า จำเลย สั่งจ่าย เช็คพิพาท ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 เพื่อชำระ ค่าซื้อ สิทธิ นำ เรือ กลับ ประเทศ ไทย จาก โจทก์ และ โจทก์ บังคับไม่ได้ รับ เงิน ตามเช็ค จำเลย จึง ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ ดัง ฟ้อง
ที่ จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ อ้าง เช็ค ใบ คืน เช็ค สัญญาซื้อขายหนังสือ รับรอง บริษัท โจทก์ และ ใบมอบอำนาจ ให้ ฟ้องคดี เป็น พยานประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึง ไม่อาจ รับฟัง พยานเอกสารดังกล่าว บังคับ ให้ จำเลย ชำระหนี้ แก่ โจทก์ ได้ นั้น เห็นว่า ค่า อ้างเอกสาร เป็น ค่าธรรมเนียม อื่น ๆ เมื่อ ไม่ปรากฏ ว่า โจทก์ จงใจ ที่ จะไม่ชำระ ค่าธรรมเนียม เช่นนี้ ก็ ไม่มี บท กฎหมาย จะ ให้ ถือว่า โจทก์ไม่ประสงค์ จะ อ้าง เอกสาร เป็น พยาน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87 ก็ บัญญัติ แต่เพียง ว่า ห้าม มิให้ ศาล รับฟัง พยานหลักฐานที่ คู่ความ มิได้ แสดง ความจำนง ที่ จะ อ้างอิง เท่านั้น ทั้ง ยัง ยกเว้น ไว้ด้วย ว่า ถ้า เป็น พยานหลักฐาน อัน สำคัญ ซึ่ง เกี่ยวกับ ประเด็น ข้อสำคัญใน คดี แม้ จะ ฝ่าฝืน บทบัญญัติ ใน อนุมาตรา นี้ ก็ ให้ อำนาจศาล ที่ จะ รับฟังพยานหลักฐาน เช่นว่า นี้ ได้ ดังนั้น การ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง รับฟังพยานเอกสาร ดังกล่าว จึง ไม่ใช่ เรื่อง ที่ ศาล รับฟัง พยานหลักฐาน ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ทุก ข้อ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share