คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ ไม่มีประจักษ์พยาน แต่ก็ มีคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง ชั้นจับกุมและ สอบสวนซึ่งรับว่าได้ กระทำชำเรา ผู้เสียหายเมื่อฟังประกอบกับหลักฐานที่ฟังได้ว่าผู้เสียหายได้บอกว่าถูกจำเลยกระทำชำเราจริงแล้วจึง ฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกจำเลยกระทำชำเราจริง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ได้ กระทำ ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายกรรม ต่างกันกล่าว คือ จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา เด็ก หญิง ร. ผู้เสียหาย อายุ 12 ปี ซึ่ง มิใช่ ภริยา ของ จำเลย และ อยู่ ใน ความ ปกครอง ของ จำเลยโดย ใช้ กำลัง กอดปล้ำ กด ตัว ผู้เสียหาย จน ไม่สามารถ ขัดขืน ได้ จนสำเร็จความใคร่ ใน วันที่ 20 ธันวาคม 2533 เวลา กลางวัน ครั้งหนึ่งและ ใน วันที่ 14 มกราคม 2534 เวลา กลางวัน อีก ครั้งหนึ่ง เหตุ เกิดที่ ตำบล ดอนยายหนู อำเภอ กุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 285
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง การกระทำ ของ จำเลย เป็นความผิด 2 กรรม ให้ เรียง กระทง ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุก กระทง ละ 9 ปี รวม จำคุก 18 ปี ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา นับ เป็นเหตุ บรรเทา โทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควร ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สามคง จำคุก 12 ปี คำขอ นอกจาก นี้ ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา ตรวจ สำนวน ประชุม ปรึกษา แล้ว ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบว่า เด็ก หญิง ร. ผู้เสียหาย เป็น น้องสาว ของ นาง สมัย วงค์นายก ภริยา จำเลย ขณะ เกิดเหตุ ผู้เสียหาย พัก อาศัย และ อยู่ ใน ความ อุปการะเลี้ยงดู ของ นาง สมัย และ จำเลย เมื่อ วันที่ 20 ธันวาคม 2533เวลา ประมาณ 12 นาฬิกา จำเลย พา ผู้เสียหาย ไป ที่ ป่า ริมทุ่งนาแล้ว กอดปล้ำ กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย หนึ่ง ครั้ง และ วันที่ 14มกราคม 2534 เวลา ประมาณ 7 นาฬิกา จำเลย ใช้ ผ้า ปิดปาก ผู้เสียหายแล้ว กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ที่ ชั้นบน ของ บ้าน จำเลย อีก หนึ่ง ครั้งนาง นิตยา รุ่งสว่าง ครู ที่ โรงเรียน รู้ เรื่อง ที่ เกิดขึ้น จึง ไป เล่า ให้ นางสาว สมศรี เชิงรู้ อาจารย์ ใหญ่ ฟัง นางสาว สมศรี ปรึกษา กับ นาง สมัย แล้ว ได้ พา ผู้เสียหาย ไป ให้ แพทย์ ตรวจ ร่างกาย และ พา ผู้เสียหาย ไป แจ้งความ ที่ สถานีตำรวจภูธร อำเภอ กุยบุรี ต่อมา เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป จับกุม จำเลย ชั้น จับกุม และ สอบสวน จำเลย ให้การรับสารภาพ
จำเลย นำสืบ ปฏิเสธ อ้าง ฐาน ที่อยู่ และ ปฏิเสธ ว่า ไม่ได้ ให้การรับสารภาพ ทั้ง ชั้น จับกุม และ สอบสวน
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่านาง สมัย ภริยา จำเลย ได้ เอา ผู้เสียหาย ซึ่ง เป็น น้องสาว มา เลี้ยง ไว้ ตั้งแต่ ผู้เสียหาย อายุ เพียง 6 ปี และ ได้ แจ้ง ต่อ ทางราชการ ไว้ ว่าผู้เสียหาย เป็น บุตร ของ ตน ซึ่ง เกิด กับ จำเลย คดี มี ปัญหา ว่า จำเลยได้ กระทำ ความผิด ฐาน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง หรือไม่ ก่อน ที่ จะ วินิจฉัย ปัญหา ดังกล่าว นี้ศาลฎีกา เห็นสมควร วินิจฉัย ว่า ขณะ เกิดเหตุ ผู้เสียหาย มี อายุ เท่าไรเสีย ก่อน จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ นำสืบ ไม่ได้ ความ ว่า ขณะ เกิดเหตุผู้เสียหาย อายุ ไม่เกิน 13 ปี เห็นว่า ตาม สำเนา ทะเบียนบ้าน เอกสาร หมายจ. 1 ระบุ ว่า ผู้เสียหาย เกิด วันที่ 3 ธันวาคม 2521 ซึ่ง เมื่อ คำนวณถึง วันเกิดเหตุ ผู้เสียหาย จะ มี อายุ 12 ปี เศษ เมื่อ พิจารณา สำเนาทะเบียนบ้าน ฉบับ ดังกล่าว ดู แล้ว มี การ แจ้ง วัน เดือน ปี เกิด บุตร ของนาง สมัย แต่ละ คน รวมทั้ง ผู้เสียหาย เรียง กัน ตามลำดับ จึง เป็น ไป ไม่ได้ ที่ จะ ฟัง ว่า นาง สมัย แจ้ง วัน เดือน ปี เกิด ของ ผู้เสียหาย ไม่ ต่ำกว่า ความ เป็น จริง เพียง เพื่อ ให้ ผู้เสียหาย เข้า เรียน หนังสือ ได้ ตาม ที่ครูใหญ่ แนะนำ ดัง ที่นา ง สมัย เบิกความ ประกอบ กับ จำเลย ก็ ไม่มี พยาน มา หักล้าง ดังนี้ ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า ขณะ เกิดเหตุ ผู้เสียหายมี อายุ เพียง 12 ปี เศษ ดัง ที่ โจทก์ ฟ้อง ฎีกา จำเลย ข้อ นี้ ฟังไม่ขึ้นมี ปัญหา ที่ วินิจฉัย ต่อไป ว่า จำเลย ได้ กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย หรือไม่โจทก์ ไม่มี ประจักษ์พยาน เพราะ ไม่สามารถ นำ ผู้เสียหาย มา เป็น พยานเบิกความ ได้ คง มี แต่ บันทึก คำให้การ ผู้เสียหาย ชั้นสอบสวน ตามเอกสาร หมาย จ. 6 อ้าง ส่ง ศาล เป็น พยาน ผู้เสียหาย ได้ ให้การ ไว้ ในบันทึก ดังกล่าว มี ใจความ เป็น สำคัญ ว่า ถูก จำเลย กระทำ ชำเรา 2 ครั้งครั้งแรก วันที่ 20 ธันวาคม 2533 ที่ ใน ป่า ส่วน ครั้งหลัง วันที่ 14มกราคม 2534 ที่ บ้าน จำเลย เห็นว่า แม้ บันทึก คำให้การ ผู้เสียหายดังกล่าว นี้ จะ เป็น เพียง พยานบอกเล่า มี น้ำหนัก น้อย แต่ ก็ รับฟังประกอบ พยาน อื่น ได้ นาง นิตยา รุ่งสว่าง พยานโจทก์ ซึ่ง เป็น ครู ของ ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า เมื่อ มี เพื่อน ของ ผู้เสียหาย มา บอก ว่าผู้เสียหาย ถูก จำเลย กระทำ ชำเรา จึง ได้ นำ เรื่อง ดังกล่าว ไป เล่าให้ นางสาว สมศรี เชิงรู้ อาจารย์ ใหญ่ ฟัง โดย โจทก์ มี นาง นิตยา และ นางสาว สมศรี มา เบิกความ สนับสนุน ความ ข้อ นี้ และ ยัง ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นางสาว สมศรี อีก ว่า หลังจาก ทราบ เรื่อง จาก นาง นิตยา และ เรียก ผู้เสียหาย มา สอบถาม จน ได้ความ แล้ว จึง ไป พบ นาง สมัย และ พา กัน นำ ผู้เสียหาย ไป ให้ แพทย์ ที่ โรงพยาบาล กุยบุรี ตรวจ ร่างกาย ผล การ ตรวจ พบ ว่า เยื่อพรหมจารี ของ ผู้เสียหาย ขาด เห็นว่าพยานโจทก์ ทั้ง สอง ปาก นี้ ต่าง เป็น ครู ของ ผู้เสียหาย ไม่เคย มี สาเหตุบาดหมาง กับ จำเลย เชื่อ ว่า ต่าง เบิกความ ไป ตาม ความสัตย์ จริงเมื่อ ฟัง ประกอบ กับ บันทึก คำให้การ ผู้เสียหาย เอกสาร หมาย จ. 6 แล้วมี น้ำหนัก ฟังได้ ว่า ผู้เสียหาย ได้ บอก ว่า ถูก จำเลย กระทำ ชำเรา ดัง ที่พยานโจทก์ ทั้ง สอง ปาก นี้ เบิกความ มี ปัญหา วินิจฉัย ต่อไป ว่าที่ ผู้เสียหาย บอก ว่า ถูก จำเลย กระทำ ชำเรา จะ รับฟัง ได้ หรือไม่แพทย์ หญิง ศรีสมัย เชื้อชาติ พยานโจทก์ ผู้ตรวจ ร่างกาย ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า ตรวจ พบ เยื่อพรหมจารี ผู้เสียหาย ขาด แต่ ไม่พบ เชื้อ อสุจิใน ช่องคลอด เห็นว่า การ ตรวจ ดังกล่าว กระทำ ภายหลัง เกิดเหตุ ถึง4 วัน ดังนั้น ที่ ไม่พบ เชื้อ อสุจิ จึง ไม่ใช่ ข้อสำคัญ เพราะ ได้ความ จากคำเบิกความ ของ แพทย์ หญิง ศรีสมัย ว่า เชื้อ อสุจิ สามารถ อยู่ ใน ช่องคลอด ได้ ประมาณ 1 ถึง 2 วัน เท่านั้น ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นาย ดาบตำรวจ บุญเชิด ชัยมงคล พยานโจทก์ ผู้จับกุม จำเลย ว่า ได้ แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ว่า กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย จำเลย ให้การรับสารภาพ โดย โจทก์มี บันทึก การ จับกุม ตาม เอกสาร หมาย จ. 3 เป็น พยาน สนับสนุน และ ยัง ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ อีก ปาก หนึ่ง คือ พันตำรวจเอก เบญจรงค์ สุบรรณภาส พนักงานสอบสวน ว่า หลังจาก สอบ คำให้การ ผู้เสียหาย เสร็จ แล้ว ได้ ให้ ผู้เสียหาย นำ ไป ชี้ ที่เกิดเหตุ ได้ ทำบันทึก การ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ และ แผนที่ เกิดเหตุ ไว้ ตาม เอกสาร หมายจ. 7 และ จ. 8 และ ยัง ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ ปาก นี้ต่อไป อีก ว่า ชั้นสอบสวน ได้ แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ว่า กระทำ ชำเราผู้เสียหาย จำเลย ให้การรับสารภาพ พร้อม กับ นำ ไป ชี้ ที่เกิดเหตุ ประกอบคำรับสารภาพ ได้ บันทึก คำให้การ จำเลย และ บันทึก การ ชี้ ที่เกิดเหตุประกอบ คำรับสารภาพ พร้อม ถ่าย ภาพ ไว้ ตาม เอกสาร หมาย จ. 9 และ จ. 10เห็นว่า ทั้ง นาย ดาบตำรวจ บุญเชิด และ ร้อยตำรวจเอก เบญจรงค์ ต่าง ไม่เคย มี สาเหตุ บาดหมาง กับ จำเลย ข้อ ที่ น่า ระแวง ว่า จะ เบิกความและ ทำ หลักฐาน ดังกล่าว ขึ้น เพื่อ ปรักปรำ จำเลย จึง ไม่มี ที่ จำเลย นำสืบเป็น ทำนอง ว่า จำเลย ไม่ได้ ให้การรับสารภาพ ทั้ง ชั้น จับกุม และ สอบสวนหาก แต่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ทำ หลักฐาน ดังกล่าว ขึ้น เพื่อ ปรักปรำ จำเลยนั้น มี แต่ คำเบิกความ ของ จำเลย ปาก เดียว ลอย ๆ ไม่มี พยาน อื่น สนับสนุนฟังไม่ขึ้น กรณี รับฟัง ได้ว่า จำเลย ให้การรับสารภาพ ทั้ง ชั้น จับกุมและ สอบสวน โดย สมัครใจ และ ตาม ความสัตย์ จริง หลักฐาน พยานโจทก์ที่ เกี่ยวกับ คำรับสารภาพ ของ จำเลย ดังกล่าว จึง รับฟัง ประกอบ พยานหลักฐาน อื่น ๆ ของ โจทก์ ยัน จำเลย ใน ชั้นพิจารณา ของ ศาล ได้ เห็นว่าแม้ โจทก์ จะ ไม่มี ประจักษ์พยาน แต่ โจทก์ ก็ มี คำรับสารภาพ ของ จำเลยทั้ง ชั้น จับกุม และ สอบสวน ซึ่ง จำเลย รับ ว่า ได้ กระทำ ชำเรา ผู้เสียหายเมื่อ ฟัง ประกอบ กับ หลักฐาน ที่ ฟังได้ ว่า ผู้เสียหาย ได้ บอก ว่าถูก จำเลย กระทำ ชำเรา ดัง ที่ ได้ วินิจฉัย แล้ว ข้างต้น พยานหลักฐาน โจทก์หนักแน่น มั่นคง พยาน จำเลย ฟัง หักล้าง ไม่ได้ กรณี ฟังได้ ว่าผู้เสียหาย ถูก จำเลย กระทำ ชำเรา มี ปัญหา วินิจฉัย ต่อไป ว่า ผู้เสียหายถูก จำเลย กระทำ ชำเรา ทั้ง สอง ครั้ง ตาม ฟ้อง หรือไม่ โจทก์ ฟ้อง อ้างว่าจำเลย กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย 2 ครั้ง ต่าง กรรม ต่าง วาระ กัน คือ ครั้งแรกวันที่ 20 ธันวาคม 2533 ครั้งหลัง วันที่ 14 มกราคม 2534 แต่หลักฐาน ตาม บันทึก การ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ และ แผนที่ เกิดเหตุ เอกสาร หมายจ. 7 และ จ. 8 ที่ ผู้เสียหาย เป็น ผู้นำชี้ ก็ ดี และ บันทึก การ ชี้ ที่ เกิดเหตุ พร้อม ภาพถ่าย ประกอบ คำรับสารภาพ ของ จำเลย ตาม เอกสาร หมาย จ. 10ก็ ดี ไม่เกี่ยวกับ การกระทำ ชำเรา ครั้งแรก หาก แต่ เป็น หลักฐานเกี่ยวกับ การกระทำ ชำเรา ครั้งหลัง ทั้งสิ้น เหตุใด จึง ไม่มี การ นำ ชี้ถึง การกระทำ ชำเรา ครั้งแรก ให้ เหมือนกับ การกระทำ ชำเรา ครั้งหลังไม่ได้ ความ จาก การ นำสืบ ของ โจทก์ ดังนี้ พยานหลักฐาน โจทก์ ที่เกี่ยวกับ การกระทำ ชำเรา ตาม ฟ้อง ครั้งแรก จึง ไม่ น่าเชื่อ เพราะ มีข้อ บกพร่อง กรณี ยัง ฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ตาม ฟ้องครั้งแรก หาก แต่ พยานหลักฐาน โจทก์ คง ฟังได้ ว่า จำเลย กระทำ ชำเราผู้เสียหาย ตาม ฟ้อง ครั้งหลัง เพียง กรรมเดียว มี ความผิด ฐาน กระทำ ชำเราผู้เสียหาย อายุ ไม่เกิน สิบ สาม ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคสอง ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด 2 กรรม ตาม ฟ้องไม่ต้อง ด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา จำเลย ฟังขึ้น บางส่วน ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ ลงโทษ จำเลย เพียง กระทง เดียว มี กำหนด6 ปี นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 3

Share