คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2468/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์รวม 13 วงแล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 136,200 บาท แต่จำนวนเงินที่ผิดสัญญาแต่ละวงนั้นไม่เกินสองหมื่นบาท ดังนี้ ทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงแยกออกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวงซึ่งไม่เกินสองหมื่นบาท จึงเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลย ก็เป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จำเลยจะยกปัญหาข้อเท็จจริงนั้นขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 การที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้หลายข้อนั้นศาลจะวินิจฉัยประเด็นข้อไหนก่อนหรือหลังก็ย่อมทำได้ตามที่เห็นสมควร หาจำต้องวินิจฉัยเรียงตามลำดับประเด็นที่ตั้งไว้ไม่ และจะนำเอาประเด็นหลาย ข้อมารวมวินิจฉัยไปพร้อมกันก็ย่อมทำได้ โดยไม่จำต้องระบุไว้ด้วยว่าได้รวมวินิจฉัยประเด็นข้อใดเข้าด้วยกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าเล่นแชร์กับโจทก์รวม 13 วงแล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์แก่โจทก์รวมเป็นเงิน 136,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเล่นแชร์กับโจทก์จริง แต่จำนวนมือที่เล่นน้อยกว่าที่โจทก์ฟ้อง และได้ชำระค่าแชร์แก่โจทก์หมดแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์รวม13 วง แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ โดยจำนวนเงินที่ผิดสัญญาแต่ละวงนั้นไม่เกินสองหมื่นบาท ฉะนั้น ทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงแยกออกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวงซึ่งไม่เกินสองหมื่นบาทจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าแชร์มือละ 300 บาท จำเลยเล่นเพียง 3 มือ ไม่ใช่ 4 มือ และได้มีการหักกลบลบหนี้ชำระค่าแชร์ให้โจทก์หมดแล้วนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว

ที่จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยตามลำดับประเด็นที่ ตั้งไว้ และเอาประเด็นข้อ 2 กับข้อ 3 มารวมวินิจฉัยเข้าด้วยกันโดยไม่ระบุว่ารวมวินิจฉัยไปพร้อมกัน เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ตั้งไว้เมื่อเห็นว่าประเด็นใดควรวินิจฉัยก่อนหรือหลังย่อมทำได้ และในการรวมประเด็นหลายข้อเข้าวินิจฉัยพร้อมกันก็ไม่จำเป็นต้องระบุว่ารวมประเด็นข้อใดบ้าง

พิพากษายืน

Share