คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทจริงเพียงแต่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ การรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยคดีจึงไม่จำต้องอาศัยเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยแล้ว จึงไม่มีกรณีอันเป็นการต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,062,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 มีนาคม 2557) ต้องไม่เกิน 62,500 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 8,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาตลิ่งชัน เลขที่ 2063733 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2556 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท ระบุว่าจ่ายสดหรือผู้ถือ โดยโจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทเพื่ออาวัลผู้สั่งจ่าย ต่อมานายประเสริฐนำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินตามวันที่ที่ลงในเช็ค ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ตามเช็คพิพาทและสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี และแบบฟอร์มอายัดเช็ค/ยกเลิกเช็ค ในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยซึ่งขอวงเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคาร 9,000,000 บาท จำเลยเป็นหนี้ธนาคาร 6,000,000 บาทเศษ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัทมิเลนเนียม เอ็ซเทท คอร์ปอเรท จำกัด เป็นค่าวางมัดจำในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคาร MEC TOWER แต่เนื่องจากจำเลยเคยรู้จักกับโจทก์มาก่อนเกิดกรณีพิพาทประมาณ 1 ปีเศษ โดยโจทก์เป็นผู้ชักชวนให้จำเลยซื้ออาคารจากนายอมร จำเลยไว้ใจโจทก์จึงมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อนำไปมอบให้แก่นายอมร ต่อมาจำเลยทราบว่าโจทก์ไม่ได้นำเช็คพิพาทไปมอบให้นายอมร จึงมีคำสั่งให้ธนาคารตามเช็คระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จึงเป็นการต่อสู้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทไม่มีอยู่จริง เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้าง พยานหลักฐานของโจทก์มีตัวโจทก์และนายประเสริฐ เบิกความสอดคล้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคาร MEC TOWER กับบริษัทมิเลนเนียม เอ็ซเทท คอร์ปอเรท จำกัด ที่โจทก์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่จำเลยมีเงินลงทุนไม่เพียงพอ โจทก์จึงแนะนำให้รู้จักกับนายประเสริฐ นายประเสริฐยินดีให้จำเลยกู้ยืมเงินโดยให้สั่งจ่ายเช็คแลกเงินสดจากนายประเสริฐ โดยให้โจทก์ลงลายมือชื่ออาวัลผู้สั่งจ่ายในเช็ค จำเลยจึงลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาทแลกเงินสดจากนายประเสริฐ แต่เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดเรียกเก็บเงินนายประเสริฐนำไปเรียกเก็บ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ซึ่งลงลายมือชื่ออาวัลผู้สั่งจ่ายจึงชำระเงินคืน นายประเสริฐและรับเช็คพิพาทกลับคืนมา ส่วนพยานจำเลยคงมีเพียงจำเลยปากเดียวที่เบิกความต่อสู้ทำนองว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท MEC เพื่อเป็นค่าวางมัดจำในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคาร MEC TOWER ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการวางมัดจำเป็นการชำระหนี้บางส่วน จำเลยได้ชำระเงินมัดจำเป็นเงินสดแทนจำนวนเงินตามเช็คพิพาท ต่อมาจำเลยจึงมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ เห็นว่า ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและบันทึกต่อท้ายสัญญา คู่กรณีระบุเงินมัดจำตามสัญญาและบันทึกต่อท้ายสัญญาเป็นจำนวนเงิน 36,500,000 บาท เป็นเงินมัดจำที่มีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่ปรากฏในเช็คพิพาทซึ่งเป็นเงินเพียง 2,000,000 บาท อยู่มาก จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ทุกครั้งที่มีการสั่งจ่ายเช็คเป็นค่ามัดจำจะต้องมีการระบุชื่อธนาคารและเลขที่เช็คไว้ในสัญญาและบันทึกต่อท้ายสัญญาด้วย แต่ในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและบันทึกต่อท้ายสัญญา กลับไม่ปรากฏข้อความที่ระบุถึงเช็คพิพาทไว้แต่อย่างใด จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ภายหลังทำบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์บอกจำเลยว่าน่าจะต้องมีการชำระเงินมัดจำบางส่วนก่อน จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทและเช็คให้แก่โจทก์ แต่ได้รับแจ้งจากนายอมรว่าให้ชำระเงินมัดจำ 15,000,000 บาท ครั้งเดียว ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและบันทึกต่อท้ายสัญญา ระบุข้อตกลงเรื่องการวางเงินมัดจำด้วยเช็ค โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 2031139 และเลขที่ 2063779 ตามลำดับ และมีข้อความระบุไว้ว่า จำเลยได้รับเช็คฉบับเก่าคืนไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ปรากฏว่ามีการชำระค่ามัดจำด้วยเช็คพิพาทหรือเช็คตามเอกสารแต่อย่างใด คำเบิกความของจำเลยจึงขัดแย้งกับข้อตกลงเรื่องการวางเงินมัดจำซึ่งถือเป็นข้อพิรุธ จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นมานำสืบสนับสนุนตามที่ให้การต่อสู้ โดยเฉพาะนายอมรที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเป็นค่ามัดจำมาเบิกความต่อศาลเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยและยังไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนักให้น่ารับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือในเช็คออก จึงเป็นเช็คผู้ถือ โจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทจึงอยู่ในฐานะเป็นอาวัลผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้นายประเสริฐไปแล้วและรับมอบเช็คพิพาทกลับคืนมา โจทก์ย่อมมีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิเช็คของผู้ทรงเช็คบรรดามีเหนือจำเลยและฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงิน 2,000,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า เช็คพิพาทรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งคดีได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทโจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วน จึงไม่อาจนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยโจทก์เป็นผู้สลักหลังเป็นประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายซึ่งจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทแลกเงินสดจากนายประเสริฐ นายประเสริฐจึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่นายประเสริฐและรับเช็คพิพาทกลับคืนมาเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายให้รับผิดต่อโจทก์ จำเลยให้การรับว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทจริงเพียงแต่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ การรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยคดีจึงไม่จำต้องอาศัยเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยแล้ว จึงไม่มีกรณีอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share