คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยผู้ก่อวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 ไม่ใช่ฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยจึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรกอันจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือของฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้และไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
โจทก์อ้างว่าต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยอยู่ที่บริษัท ส.ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจากบริษัท ส. บริษัท ส. แจ้งว่ายังค้นหาเอกสารไม่พบโจทก์ย่อมมีสิทธินำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลเข้าสืบถึงการรับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ซ. 4500 คันเกิดเหตุจากบริษัท ส. ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา123

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากบริษัท ส.จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถบรรทุกซุงของจำเลยที่ ๒ ไปจอดทางด้านขวามือของถนน ทั้งไม่เปิดไฟหรือจุดไฟให้รถคันอื่นมองเห็นได้ เป็นเหตุให้นายบุญส่งขับรถยนต์ของบริษัท ส. แล่นเข้าชนได้รับความเสียหาย โจทก์ได้จ่ายเงินค่าเสียหายแทนผู้เอาประกันภัยจึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนคืนจากจำเลยทั้งสาม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระ
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้หลายประการ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาประกันภัยนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๑ บัญญัติให้ความหมายว่า คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในการวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญาและในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย โดยมาตรา ๘๖๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติขยายคำจำกัดความคำว่า “ผู้รับประกันภัย” หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ และ”ผู้เอาประกันภัย” หมายถึงคู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัยและที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๗ วรรคแรกบัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่”คำนี้แสดงให้เห็นว่า การฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ หมายถึงในกรณีที่มีการฟ้องร้องบังคับผู้รับประกันภัยให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ตามที่ระบุไว้ในสัญญา หรือในกรณีที่ผู้รับประกันภัยฟ้องร้องบังคับเอาเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย ส่วนคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยฟ้องร้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ อันเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดทำให้รถยนต์ของผู้เอาประกันที่ประกันไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดกับจำเลยที่ ๑ และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์ให้ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องจำเลยทั้งสามโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๐ มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวแต่อย่างใดจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๖๗ วรรคแรก และไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ เพราะมิใช่กรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
โจทก์อ้างว่าต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยอยู่ที่บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลภายนอก บุคคลภายนอกแจ้งมาว่าโจทก์เคยออกกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อแสดงการรับประกันภัยรถยนต์ของบริษัทจำนวน ๔๓ คัน แต่ยังค้นหาเอกสารไม่พบ จึงไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบ ในกรณีเช่นนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๓ วรรคสุดท้ายบัญญัติไว้ว่า เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลทำการสืบพยานต่อไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๓(๒) ดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธินำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลเข้าสืบถึงการรับประกันภัยรถยนต์คันพิพาทได้ เมื่อปรากฏว่า สำเนากรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ส่งอ้างรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เพราะโจทก์มิได้เสียค่าอ้าง ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ในเรื่องนี้จากพยานบุคคลที่โจทก์นำสืบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์อยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๖๗ วรรคแรก โจทก์ไม่มีหลักฐานประกอบรูปคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุและได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์ดังกล่าวแก่ผู้เอาประกันแล้วหรือไม่ อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ในเรื่องนี้จากพยานบุคคลที่โจทก์นำเข้าสืบ สมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นข้อนี้และข้ออื่นตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ โดยเฉพาะพยานบุคคลที่โจทก์นำสืบและพยานหลักฐานของจำเลยในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์และประเด็นข้ออื่นตามอุทธรณ์ของโจทก์ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share