คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330-3331/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ถูกจำเลยฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาท อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท โจทก์ให้การอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องคดีนี้ต่อมาคดีแรกศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้กับคดีแรกมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน และศาลมีคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีแรกว่าโจกท์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยคดีแรกก็ตาม แต่เมื่อศาลพิพากษาคดีแรกแล้ว กรณีก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เช่าที่ดินของจำเลยปลูกห้องแถวอยู่อาศัยจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินที่โจทก์เช่าแก่โจทก์ และได้รับเงินมัดจำไปจำนวนหนึ่งแล้วต่อมาเมื่อจำเลยได้ทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่จะซื้อจะขาย จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมโอนและเกี่ยงราคาที่ดินสูงขึ้นจากเดิม จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอบังคับจำเลยให้รับชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระ แล้วโอนที่ดินแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่จะขายเสร็จและแจ้งให้โจทก์ไปทำการโอนแล้ว โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงริบเงินมัดจำและบอกเลิกสัญญาให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทต่อมาจำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากที่พิพาทคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โจทก์กลับหาเหตุมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ซึ่งมีข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนและซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โจทก์ได้ถูกจำเลยฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่พิพาทรายเดียวกันนี้ โดยอ้างเหตุตามคำฟ้องในคดีนั้นว่า โจทก์ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดีโดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องของตนในคดีนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นโจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ต่อมาคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีที่จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีก่อน มีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยอยู่ในประเด็นเดียวกันในข้อที่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดคดีว่าโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนเป็นฝ่ายผิดสัญญา ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

Share