คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันยักยอกเงินของสหกรณ์ฯไป ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นแก่สหกรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคแรก ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติการณ์ที่จะต้องรับผิดยิ่งหย่อนกว่ากันจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกันตามมาตรา 432 วรรคสาม เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินที่ยักยอกให้สหกรณ์ฯ ไป ย่อมรับช่วงสิทธิของสหกรณ์ฯ มาไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 229(3),226การที่โจทก์ใช้เงินคืนแก่สหกรณ์ฯ ไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโจทก์ฟ้องเรียกเงินส่วนที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อสหกรณ์ฯ จากจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้ชำระให้ไปแล้วมิใช่ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยักยอกมาจึงไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายและถือไม่ได้ว่าเป็นการมาศาลด้วยมืออันไม่บริสุทธิ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการเข้าทำงานกับสหกรณ์ฯ เมื่อหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นต่อสหกรณ์ฯ นี้เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันแล้ว โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิจากสหกรณ์ จึงใช้สิทธิของสหกรณ์ฯ บังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัด จำเลยที่ 1ทำงานอยู่กับสหกรณ์ดังกล่าวมีหน้าที่รับคำขอกู้ จ่ายเงินของสหกรณ์ให้สมาชิก จัดทำเอกสารและหน้าที่แทนโจทก์เมื่อโจทก์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติงานได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการเข้าทำงานกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัด ว่าถ้าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายหรือมีหนี้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จำเลยที่ 2ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายหรือหนี้สินนั้นเต็มจำนวน ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ทำเอกสารปลอมและปลอมลายมือชื่อของสมาชิกสหกรณ์หลายรายแล้วใช้เอกสารปลอมดังกล่าวขอกู้เงินประเภทฉุกเฉินจากสหกรณ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 131,650 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 25,800 บาทให้แก่สหกรณ์ ยังคงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 เบียดบังไว้ 105,850 บาท ต่อมาโจทก์ตรวจพบการทุจริตของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยอมรับต่อโจทก์และทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ว่าจะจัดการชดใช้เงินให้สหกรณ์หากไม่สามารถชดใช้ จะให้ผู้ค้ำประกันชดใช้แทน ต่อมาผู้ตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ตรวจพบว่าเงินของสหกรณ์ขาดหายไป180,570 บาท รวมทั้งเงินที่จำเลยที่ 1 เบียดบังไว้ด้วย โจทก์ได้ชดใช้ให้สหกรณ์ไปแล้วจำเลยที่ 1 มิได้ชดใช้เงิน 105,850 บาทให้แก่สหกรณ์ โจทก์ต้องชดใช้แทนไปความเสียหายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อขึ้น โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชดใช้ให้โจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 105,850 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2520 จนกว่าจะชำระเสร็จถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

จำเลยให้การว่า โจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 ทำปลอมเอกสารและปลอมลายมือชื่อของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัด และใช้เอกสารปลอมดังกล่าวกู้เงินประเภทฉุกเฉินจากสหกรณ์รวมเป็นเงิน 131,650 บาท โดยโจทก์เป็นผู้รับเงินไปทั้งสิ้น และสัญญาว่าหากเกิดเรื่องราวขึ้นโจทก์จะเป็นผู้รับผิดชอบเองจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาจึงได้กระทำไปตามคำหลอกลวงของโจทก์นอกจากนี้โจทก์ยังได้หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 บันทึกข้อความต่าง ๆ หลายฉบับให้โจทก์หลุดพ้นความรับผิด เมื่อผู้ตรวจบัญชีสหกรณ์ตรวจพบว่าเงินของสหกรณ์ขาดหายไปโจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับสภาพหนี้ต่อสหกรณ์ร่วมกับโจทก์ โดยโจทก์สัญญาว่าจะรับผิดแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ใช้เงินให้สหกรณ์ไปแล้วจึงใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยจากจำเลย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า สัญญาค้ำประกันผูกพันระหว่างจำเลยที่ 2 กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัด เท่านั้น โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายฐานยักยอกเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัด เมื่อโจทก์ชดใช้แล้วจะอ้างเอาหนี้ที่ตนกระทำทุจริตขึ้นมาเป็นข้อเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ และตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เมื่อหนี้เป็นประธานเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ ไป

วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี จำกัดไป โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นแก่สหกรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคแรก ส่วนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ด้วยกันเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์ที่สมควรให้รับผิดยิ่งหย่อนกว่ากัน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามมาตรา 432 วรรคสาม เมื่อโจทก์ชำระเงินให้สหกรณ์ไปย่อมรับช่วงสิทธิของสหกรณ์มาไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(3), 226 ตามส่วนที่จำเลยที่ 1ต้องรับผิดตามมาตรา 432 วรรคสาม เงินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ยักยอกไปจำนวน131,650 บาท จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 65,825 บาท โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ชดใช้ให้สหกรณ์แล้วจำนวน 25,800 บาท เงินส่วนที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดจึงคงเหลือ 40,025 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2520 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้สหกรณ์ไป ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งถือว่ามาศาลด้วยมืออันไม่บริสุทธิ์ โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 มิได้นั้นเห็นว่า กรณีนี้โจทก์มิได้เรียกเงินที่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยักยอกมา แต่เป็นเรื่องโจทก์ชดใช้เงินคืนแก่สหกรณ์แล้วรับช่วงสิทธิของสหกรณ์มาไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ตามส่วนที่จำเลยที่ 1จะต้องรับผิด การที่โจทก์ชดใช้เงินคืนแก่สหกรณ์หาต้องห้ามตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ จะนับว่าโจทก์มาศาลด้วยมือไม่บริสุทธิมิได้ โจทก์จึงฟ้องเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ได้ สำหรับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันนั้นมีข้อความตามหนังสือค้ำประกันว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายหรือก่อหนี้สินขึ้นต่อสหกรณ์ผู้จ้างไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และจำเลยที่ 1 ไม่ชดใช้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้แทน ดังนี้ เมื่อโจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของสหกรณ์ฯในหนี้ที่เกิดขึ้นจากจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิของสหกรณ์ฯ ดังกล่าวบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 226

พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 40,025 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2520จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบ

Share