คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2463/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2532 โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1969/2532ขอแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 18859 พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นวันที่ 27 พฤศจิกายน 2532 จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในราคา1,000,000 บาท ต่ำกว่าราคาท้องตลาดประมาณ 600,000 บาทโดยจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยที่ 1 ทั้งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินใดอีก ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามไปแก้ไขทะเบียนโฉนดที่ดินให้เป็นเช่นเดิมเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการซื้อขาย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ทราบว่าโจทก์เคยฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยที่ 1 ทั้งการซื้อขายดังกล่าวก็กระทำโดยเปิดเผยสุจริต และเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นขอแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามราคาทั่วไป โดยสุจริตเปิดเผยและเสียค่าธรรมเนียมถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ทราบว่าการซื้อขายทรัพย์พิพาทจะทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเสียเปรียบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่ 18859 ตำบลหนองจ๊อมอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสามข้อต่อไปที่ว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแขวงเชียงใหม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีอาญาในข้อหาโกงเจ้าหนี้ศาลแขวงเชียงใหม่พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 สุจริตไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 โกงเจ้าหนี้ คดีถึงที่สุดในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญานั้นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการโดยสุจริตนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา”
พิพากษายืน

Share