คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พวกผู้เสียหายทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ติดตามจำเลยกับพวกไปโดยมีไม้ปลายแหลมและสนับมือติดตัวไปด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าพวกของผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อติดตามจำเลยกับพวกไปเพราะประสงค์จะไปหาเรื่องกับจำเลยเมื่อผู้เสียหายทั้งสองกับพวกติดตามจำเลยกับพวกจนทันแล้ว ผู้เสียหายทั้งสองกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลย พวกผู้เสียหายมีอาวุธติดตัวและมีจำนวนคนมากกว่าจำเลยกับพวกย่อมกลัวพวกผู้เสียหายทั้งสองจะใช้อาวุธดังกล่าวทำอันตราย จึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายอันใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไปถึง 6 นัดนับว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืน ส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีอาวุธปืน 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน 3 เดือน ส่วนพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี รวมจำคุกจำเลย 8 ปี 9 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานพยายามฆ่าผู้อื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .32 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ ยิงผู้เสียหายทั้งสองหลายนัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 1 บริเวณต้นแขนซ้าย รักแร้ซ้าย และหน้ารักแร้ซ้าย ถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ขาท่อนล่างขวาด้านนอกและใต้ข้อพับเข่าขวา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความเป็นพยานในทำนองเดียวกันว่า ขณะผู้เสียหายทั้งสอง นายลำไพร นายพรชนะ นายอานนท์และนายเพชร ไม่ทราบชื่อสกุล นั่งคุยกันที่บ้านนายอานนท์ นายไพรัตน์ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยนั่งซ้อนท้ายผ่านบ้านนายอานนท์ จำเลยกวักมือเรียกพวกผู้เสียหายทั้งสองให้ออกตามไป ผู้เสียหายทั้งสองกับพวกดังกล่าวจึงขับรถจักรยานยนต์ตามจำเลย กับพวกไปเพื่อหาทางปรับความเข้าใจกัน นายพรชนะ และนายลำไพร เบิกความเป็นพยานโจทก์ในทำนองเดียวกันว่า ขณะที่พยานทั้งสองกับผู้เสียหายทั้งสองและนายเพชรกับนายอานนท์นั่งคุยกันอยู่ที่บ้านนายอานนท์ นายไพรัตน์ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยนั่งซ้อนท้ายผ่านมา จำเลยชูมือทำสัญลักษณ์อวัยวะเพศชายให้พยานกับพวกผู้เสียหายพยานและผู้เสียหายทั้งสองกับพวกรวม 6 คน จึงขับรถจักรยานยนต์ 4 คันตามจำเลยกับพวกไปเพื่อจะสอบถามว่าทำไมจึงให้สัญลักษณ์อวัยวะเพศแก่พวกพยานซึ่งจำเลยก็นำสืบว่า ผู้เสียหายทั้งสองกับพวกขับรถจักรยานยนต์ตามมาทันและรายล้อมจำเลยกับพวกไว้ ผู้เสียหายที่ 1 มีสนับมือ ผู้เสียหายที่ 2 มีแป๊บน้ำ และนายพรชนะมีท่อนไม้เป็นอาวุธ พวกผู้เสียหายทั้งสองอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 1 เมตร และกรูเข้ามาจะทำร้ายจำเลยกับพวก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนพกยิงกราดไป 6 นัด ซึ่งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธที่พวกผู้เสียหายทั้งสองมีติดตัวเพื่อมาก่อเหตุทำร้ายจำเลยกับพวกนั้น ปรากฏตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ที่ตอบทนายจำเลยถามค้านโดยผู้เสียหายที่ 2 รับว่า ก่อนผู้เสียหายกับพวกจะขับรถจักรยานยนต์ตามจำเลยกับพวกออกไปนั้น มีไม้ปลายแหลมและสนับมืออยู่ที่บ้านของนายอานนท์ด้วย คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ดังกล่าวจึงเจือสมกับทางนำสืบของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พวกผู้เสียหายทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ติดตามจำเลยกับพวกไปโดยมีอาวุธดังกล่าวติดตัวไปด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าพวกของผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อติดตามจำเลยกับพวกไปเพราะประสงค์จะไปหาเรื่องกับจำเลย เมื่อผู้เสียหายทั้งสองกับพวกติดตามจำเลยกับพวกจนทันแล้ว ผู้เสียหายทั้งสองกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลย พวกผู้เสียหายมีอาวุธติดตัวและมีจำนวนคนมากกว่า จำเลยกับพวกย่อมกลัวพวกผู้เสียหายทั้งสองจะใช้อาวุธดังกล่าวทำอันตราย จึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายอันใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไปถึง 6 นัด นับว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดข้อหาพยายาม ฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่สมควรรอการลงโทษให้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 68, 69 ลงโทษจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับความผิดอื่นแล้วเป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share