คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาตรา 19 จะต้องเป็นผู้ต้องหา มิใช่ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 35 เม็ด น้ำหนัก 2.45 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกไม่มีวรรคหนึ่ง) จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ส่วนกำหนดโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาจำเลยประการที่สองที่ขอให้ใช้มาตรการในการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 แก่จำเลยแทนการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาตรา 19 ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจะต้องเป็นเพียงผู้ต้องหา มิใช่ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว กรณีของจำเลยไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะส่งไปฟื้นฟูสมรรถภาพได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share