แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้เกิดเหตุคนร้ายหลายคนร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายต่อมาเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยกับพวกร่วมกันเป็นคนร้ายลักทรัพย์หรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันรับของโจร คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมิได้มีข้อความใดยืนยันหรือทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ทั้งมิได้มีความขัดแย้งกันแต่เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเลือกลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
การรอการลงโทษหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์นำพฤติการณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมความประพฤติมาวินิจฉัยเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่ชอบนั้นเป็นการบิดเบือนปัญหาข้อเท็จจริงให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวันถึงวันที่ 20กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด มีคนร้ายหลายคนเข้าไปในห้องพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางภาณิภัคณ์ สีทอง ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วร่วมกันเอาชุดเครื่องเสียง 1 เครื่อง พร้อมลำโพง 4 ตัว รวมราคา 24,000บาท พระเครื่องเลี่ยมทอง 1 องค์ ราคา 3,000 บาท เหรียญรูปรัชกาลที่ 5 เลี่ยมทอง 1 องค์ ราคา 3,000 บาท รวมราคา 30,000 บาท ของผู้เสียหาย ซึ่งเก็บไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยทุจริต ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมยึดเครื่องเสียง 1 เครื่อง ลำโพง 4 ตัว พระเครื่องเลี่ยมทอง 1 องค์ และเหรียญรูปรัชกาลที่ 5 เลี่ยมทอง 1 องค์ ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวเป็นของกลางทั้งนี้ตามวันเวลาที่คนร้ายลักทรัพย์ จำเลยกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือมิฉะนั้นตามวันเวลาที่คนร้ายลักทรัพย์ถึงวันที่เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกร่วมกันรับของโจรโดยช่วยกันซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งเครื่องเสียงพร้อมลำโพง พระเครื่องเลี่ยมทอง 1 องค์ และเหรียญรูปรัชกาลที่ 5 เลี่ยมทอง 1 องค์ ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักทรัพย์โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 357, 83
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก, 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม จำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี4 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติแล้วไม่สมควรรอการลงโทษ ข้อหาลักทรัพย์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาข้อ 2 ก.(1) ของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องความว่า ได้เกิดเหตุคนร้ายหลายคนร่วมกันลักทรัพย์ชุดเครื่องเสียงพร้อมลำโพง พระเครื่องเลี่ยมทอง และเหรียญรูปรัชกาลที่ 5 เลี่ยมทอง รวมราคา 30,000 บาท ของผู้เสียหาย ต่อมาหลังเกิดเหตุลักทรัพย์ เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยกับพวกร่วมกันเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันรับของโจรทรัพย์ของผู้เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมิได้มีข้อความใดระบุยืนยันหรือทำให้เข้าใจได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ทั้งมิได้มีความขัดแย้งกัน แต่เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเลือกลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ส่วนที่จำเลยฎีกาในข้อ 2 ก.(2)ว่า ศาลอุทธรณ์นำเอาพฤติการณ์ในการลักทรัพย์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าการรอการลงโทษหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นการบิดเบือนปัญหาข้อเท็จจริงให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน