คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ตามมาตรา 277 และสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะข้อที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยเพียงสถานเบาเพียงข้อเดียว ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเพื่อวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายปรากฏอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยโดยพิพากษาแก้ ลงโทษฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279 วรรคแรกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำชำเราเด็กหญิงประไพหรือรัศมี คำโสภา อายุ ๗ ปีเศษ โดยเด็กหญิงประไพหรือรัศมีไม่ยินยอม จนจำเลยสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยอายุ ๑๘ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ จำคุกจำเลย ๖ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารเท่านั้น ไม่มีเจตนากระทำชำเรา พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยซึ่งมีอายุ ๑๘ ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๙ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๗๖ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๙ ลดมาตราส่วนโทษให้ ๑ ใน ๓ จำคุก ๖ เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เนื่องจากอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ จำเลยไม่อุทธรณ์คำสั่ง จึงไม่มีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะต้องพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะต้องใช้ดุลพินิจว่าสมควรลงโทษจำเลยในสถานที่เบากว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยหรือไม่เท่านั้น ไม่ชอบที่จะยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นมาพิจารณาใหม่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ปรากฏตามสำนวนว่า เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิงในการอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและกล่าวไว้โดยไม่ชัดแจ้ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ได้เรียกทนายจำเลยมาสอบถามแล้ว ยืนยันไม่ขอแก้ไข ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย นอกจากข้อขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยเพียงสถานเบาเพียงข้อเดียวให้รับไว้เป็นอุทธรณ์จำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะข้อที่ของให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยเพียงสถานเบาเพียงข้อเดียว ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเพื่อวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายปรากฏอยู่ในสำนวนแล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยได้
พิพากษายืน

Share