คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตึกแถวพิพาทจำนวน 11 คูหาเป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวจำนวน 20คูหาที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดีให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ซึ่งซื้อฝากมาจากภริยาจำเลย ต่อมาภริยาจำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินดังกล่าว การที่จำเลยขอให้ระงับการขับไล่ผู้อยู่อาศัยและรื้อถอนตึกแถวพิพาทไว้ก่อนจนกว่าคดีที่ภริยาจำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดเสียก่อน เช่นนี้ ถือได้ว่ากรณีมีเหตุสมควรที่ศาลจะให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2).

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 456/125 ถึง 456/144 รวม 20 คูหา พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 41801ถึงโฉนดเลขที่ 41807 ตำบลบางพลัด อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์จึงขอให้บังคับคดีต่อมาได้มีผู้ร้อง 9 คนยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งเก้าได้ครอบครองตึกแถวดังกล่าวส่วนหนึ่งโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ร้องทั้งเก้าจึงมิใช่บริวารของจำเลย ในที่สุดศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมลงทุนกับจำเลยเพื่อก่อสร้างตึกแถวพิพาทบนที่ดินภริยาจำเลยโดยให้ภริยาจำเลยนำที่ดินมาขายฝากโจทก์ไว้แล้วนำเงินมาทำการก่อสร้าง การชำระเงินจากผู้ซื้อตึกแถวพิพาทจึงชำระในนามของโจทก์ผู้ร้องจึงมีสิทธิในตึกแถวพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ร้องหาใช่บริวารของจำเลยไม่ หลังจากนั้นโจทก์ได้ขอให้บังคับคดีห้องที่เหลืออีก 11 คูหา จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เพราะไม่มีเหตุที่จำเลยจะขอให้ศาลงดการบังคับคดีได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ายังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตึกแถวเลขที่ 456/125 ถึง 456/144เป็นของจำเลย มิใช่ทรัพย์สินที่นางประภาศรีภริยาจำเลยขายฝากให้โจทก์ แม้ศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษาภายหลังว่าโจทก์จำเลยร่วมลงทุนก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินของนางประภาศรี ก็มิใช่เหตุโดยตรงที่จำเลยจะของดการบังคับคดีได้ พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว และให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) ได้บัญญัติให้อำนาจศาลในอันที่จะมีคำสั่งงดการบังคับคดีได้เมื่อเห็นสมควร ปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่า ตึกแถวพิพาทซึ่งโจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 41801 ถึง 41807 นั้น มีผู้อาศัยบางคนซึ่งอยู่ในตึกแถวดังกล่าวยื่นคำร้องว่าไม่ใช่บริวารจำเลยเพราะได้ซื้อที่ดินและตึกแถวมาจากโจทก์จำเลย ซึ่งต่อมาศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ร่วมลงทุนกับจำเลยเพื่อก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินภริยาจำเลยโดยให้ภริยาจำเลยนำที่ดินขายฝากโจทก์ไว้แล้วนำเงินมาทำการก่อสร้างตึกแถวจำหน่าย ผู้ซื้อจะชำระเงินในนามของโจทก์ ผู้ร้องดังกล่าวจึงมีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย ไม่ใช่บริวารจำเลย จำเลยจึงมาร้องเป็นคดีนี้ขอให้ระงับการขับไล่ผู้อยู่อาศัยและรื้อถอนตึกแถวพิพาทไว้ก่อนจนกว่าคดีที่นางประภาศรีภริยาจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินซึ่งตึกแถวพิพาทตั้งอยู่ถึงที่สุดเสียก่อนโจทก์มิได้โต้แย้งในข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งยอมรับว่านางประภาศรีได้ฟ้องร้องโจทก์เกี่ยวกับนิติกรรมการขายฝากจริง ดังนี้เห็นว่า ตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงน่าจะมีมูลตามที่กล่าวอ้าง เพราะถ้าในคดีดังกล่าวศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างนางประภาศรีกับโจทก์แล้ว นางประภาศรีย่อมเป็นเจ้าของที่ดินที่ตึกแถวพิพาทตั้งอยู่นั้นแม้เพียงบางส่วนก็ตาม หากให้บังคับคดีรื้อตึกแถวพิพาทอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ แม้โจทก์มีสิทธิจะบังคับคดีตามคำพิพากษาก็ตามแต่ถ้ามีเหตุสมควร ศาลก็มีอำนาจงดการบังคับคดีไว้ก่อนได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีและยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้นจึงมีเหตุสมควรและชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share