แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ประเภทบัตรเครดิตยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตร การที่จำเลยนำบัตรเครดิตไปถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติของสถาบันการเงินอื่น โจทก์จำเป็นต้องชำระเงินแทนจำเลยไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บเงินจากจำเลยในภายหลัง จึงเป็นกิจการงานบริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิก โดยโจทก์เรียกค่าธรรมเนียมจากสมาชิก เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) มิใช่กรณีของลักษณะสัญญาพิเศษอันไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความจึงมีอายุความ 2 ปี
จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2535 โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตภายในวันที่ 2 มกราคม 2536 แต่จำเลยไม่ชำระตามกำหนด ถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องของตนได้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2536 เป็นต้นไป ครบกำหนดอายุความในวันที่ 3 มกราคม 2536 การที่โจทก์นำเงินจำนวน 4,326.42 บาท ของจำเลยมาชำระหนี้บางส่วนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 เป็นการนำเงินฝากจากบัญชีอื่นตามที่โจทก์และจำเลยได้เคยตกลงกันไว้มาหักชำระหนี้โดยที่จำเลยไม่ได้รู้เห็นด้วยจึงเป็นการกระทำของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ของจำเลย อีกทั้งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 พ้นกำหนดเวลา 2 ปี จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2533 จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ ตกลงชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินและภายในวันที่ซึ่งระบุไว้ในใบแจ้งค่าใช้จ่าย จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและใช้บริการจากร้านค้าและสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ตลอดจนเบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ หรือสำนักงานโจทก์เรื่อยมา ในภายหลังจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตโดยใช้วงเงินเกินกำหนดและไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วนถูกต้องตามใบแจ้งค่าใช้จ่าย ซึ่งคำนวณ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2543 จำเลยค้างชำระหนี้ตามบัตรเครดิตเป็นค่าเบิกเงินสด 62,974.01 บาท ค่าซื้อสินค้าและบริการ 36,044.12 บาท รวมเป็นเงิน 99,018.13 บาท ดอกเบี้ย 142,044.25 บาท ค่าบริการเบิกเงินสด 200 บาท ค่าธรรมเนียมจำนวน 700 บาท รวมเป็นเงิน 241,962.38 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 99,018.13 บาท นับจากวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 60,957.19 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 302,919.57 บาท โจทก์ได้ติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระหนี้หลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 302,919.57 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 99,018.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า มูลหนี้ตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อน เมื่อโจทก์ไม่ใช่สิทธิเรียกร้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดมิใช่กรณีที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วเรียกเก็บภายหลัง หากแต่เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ประเภทบัตรเครดิตยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตรซึ่งตามระเบียบและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตทุกประเภทที่ออกโดยธนาคารโจทก์ เอกสารหมาย จ.2 จำเลยสามารถนำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดจากร้านค้าหรือสถานบริการ หรือใช้บัตรเครดิตถอนเงินผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติของโจทก์หรือธนาคารอื่นที่โจทก์อนุญาต ทั้งนี้โจทก์จะออกเงินทดรองแทนไปก่อน และจำเลยตกลงจะชำระหนี้คืนแก่โจทก์ตามยอดหนี้และกำหนดเวลาที่โจทก์ออกใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยทราบ การที่จำเลยนำบัตรเครดิตไปถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติของสถาบันการเงินอื่น โจทก์จำเป็นต้องชำระเงินแทนจำเลยไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บเงินจากจำเลยในภายหลังจึงเป็นกิจการงานบริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิก โดยโจทก์เรียกค่าธรรมเนียมจากสมาชิก เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) มิใช่กรณีของลักษณะสัญญาพิเศษอันไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา คดีจึงมีอายุความ 2 ปี เมื่อพิจารณาใบแจ้งยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ปรากฏว่าจำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2535 เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการจำนวน 1,902.50 บาท โดยโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวภายในวันที่ 2 มกราคม 2536 แต่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องของตนได้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2536 เป็นต้นไป ครบกำหนดอายุความในวันที่ 3 มกราคม 2538 การที่โจทก์นำเงินจำนวน 4,326.42 บาท ของจำเลยมาชำระหนี้บางส่วนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 ตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 เป็นการนำเงินฝากจากบัญชีอื่นตามที่โจทก์และจำเลยได้เคยตกลงกันไว้มาหักชำระหนี้โดยที่จำเลยไม่ได้รู้เห็นด้วยจึงเป็นการกระทำของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว กรณีไม่ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้ของจำเลย อีกทั้งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 จึงพ้นกำหนดเวลา 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ