แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพักวิถีกระสุนที่จำเลยยิงถูกฝาห้องสูงจากพื้น 1 เมตรเศษซึ่งไม่เกินความสูงของบุคคลธรรมดาโดยรู้อยู่ว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องนั้น แม้จำเลยไม่เห็นตัวผู้เสียหายและไม่ทราบว่าผู้เสียหายหลบซ่อนอยู่มุมใดของห้องพัก จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตได้ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า จำเลยยิงโดยมีเจตนาให้ถูกผู้เสียหาย เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2515)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายรฤก เดี่ยววานิชย์ผู้เสียหาย ๑ นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๐, ๒๘๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๒๘๘ จำคุก ๑๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยเข้าไปในห้องพักจริง แต่จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า โดยจำเลยมีเจตนายิงเพื่อข่มขู่ผู้เสียหายเท่านั้น ไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องของผู้เสียหาย ๑ นัด ในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหลบหนีจำเลยเข้าไปในห้องพัก กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่นั้น วินิจฉัยว่าแม้จำเลยกับผู้เสียหายไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายมองหน้าจำเลยในขณะที่จำเลยขับรถผ่านหน้าโต๊ะซึ่งผู้เสียหายกับพวกนั่งรับประทานอาหาร เมื่อจำเลยจอดรถลงไปจะทำร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จเพราะถูกพวกของผู้เสียหายขัดขวางดังนั้น การที่จำเลยวิ่งกลับเข้าไปเอาอาวุธปืนในห้องเช่าของจำเลยออกมาติดตามผู้เสียหายซึ่งวิ่งหลบหนีจำเลยเข้าไปในห้องพัก แล้วใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพักที่มีตัวผู้เสียหายอยู่ในนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตได้ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยโดยชัดแจ้งว่า จำเลยมีเจตนาที่จะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย การที่จำเลยยิงปืนเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายโดยไม่เห็นตัวผู้เสียหายหรือไม่ทราบว่าผู้เสียหายหลบซ่อนอยู่มุมใดของห้องพักนั้นไม่ทำให้เจตนาของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนซึ่งจำเลยยิงไปถูกฝาห้องที่เกิดเหตุในระดับสูงจากพื้น ๑ เมตรเศษ ซึ่งไม่เกินกว่าความสูงของบุคคลธรรมดา ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะยิงเพื่อให้ถูกผู้เสียหายมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยยิงปืนเพียงเพื่อข่มขู่ผู้เสียหายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่๑๑๗/๒๕๑๕ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสกลนคร โจทก์ ร้อยตำรวจเอกสำเริง ศรีมาดี จำเลย แต่พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนในขณะเกิดเหตุมีโอกาสใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มคนที่มีปากเสียงมาก่อนตรงที่เกิดเหตุได้กลับยิงเข้าไปในห้องซึ่งมองไม่เห็นตัวผู้เสียหาย และปรากฏว่าจำเลยได้เข้ามอบตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี อันเป็นการลุแก่โทษสมควรลงโทษสถานเบาและลดโทษให้จำเลย
พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๘๐ วางโทษจำคุก ๑๐ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลย ๖ ปี ๘ เดือน.