คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ประกันติดตามพบตัวผู้ต้องหา ที่หลบหนีประกันแล้วนำตัวมาผู้ต้องหาแย่งปืนผู้ประกันยิงผู้ต้องหาตาย ที่เกิดเหตุเป็นป่าต่อสู้กันตัวต่อตัว ผู้ต้องหาร่างกายใหญ่ได้เปรียบกว่าผู้ประกันทำการป้องกันสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2497 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจใช้อาวุธปืนลูกซองยิงทำร้ายร่างกายนายจันดี พรมสิทธิ 1 นัด โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย โดยจำเลยผูกพยาบาทนายจันดี พรมสิทธิเนื่องจากนายจันดี พรมสิทธิ ต้องหาว่าแจ้งความเท็จ และจำเลยเป็นผู้ประกันตัวนายจันดี พรมสิทธิ ไปจากพนักงานสอบสวนอำเภอพิบูลมังษาหาร ครั้นถึงกำหนดส่งตัวนายจันดี พรมสิทธิ ต่อพนักงานสอบสวนจำเลยผิดสัญญาส่งตัวไม่ได้ เพราะนายจันดี พรมสิทธิ หลบหนีไปซึ่งหากจำเลยไม่สามารถจะนำตัวนายจันดี พรมสิทธิ ส่งพนักงานสอบสวนได้แล้ว จำเลยจะต้องถูกปรับเป็นเงิน 5,000 บาท จำเลยจึงพาพรรคพวกออกพยายามติดตามนายจันดี พรมสิทธิ จนพบ แล้วนำตัวมายังบ้านของจำเลย แต่ในระหว่างทางจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงนายจันดี พรมสิทธิดังกล่าวแล้ว นายจันดี พรมสิทธิทนพิษบาดเจ็บที่จำเลยทำร้ายไม่ได้ ๆ ถึงแก่ความตายในทันใดนั้นเอง เหตุเกิดที่ตำบลหนองบัวฮี อำเภอพิบูลมังษาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 250

จำเลยให้การปฏิเสธ

ทางพิจารณาได้ความว่า นายจันดีผู้ตายถูกหาว่าแจ้งความเท็จจำเลยได้ประกันตัวนายจันดีจากพนักงานสอบสวนอำเภอพิบูลมังษาหารตีราคา 5,000 บาท ถึงกำหนดนัดจำเลยได้นำตัวนายจันดีส่ง แต่เจ้าพนักงานยังสอบสวนไม่เสร็จต้องเลื่อนไป นัดให้จำเลยนำตัวนายจันดีมาส่งใหม่ ครั้นถึงวันนัดนายจันดีหายไป ไม่มาพบจำเลย ๆ จึงไปแจ้งอำเภอ เจ้าพนักงานผ่อนผันให้จำเลยติดตามไปหาตัว จำเลยติดตามอยู่หลายวันจึงทราบข่าวว่านายจันดีอยู่บ้านหนองคู้ ครั้นในวันที่ 29 กรกฎาคม ที่โจทก์หา จำเลยพร้อมด้วยนายบุญมา นายสุบินได้ออกติดตามไป ระหว่างทางจำเลยได้ชวนนายอ่อนสีผู้ใหญ่บ้าน ๆ บัวแดงซึ่งเป็นคนชอบพอกันไปด้วย นายอ่อนสีได้ไปยืมปืนลูกซอง 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน 1 ลูก ของนายฮองไปด้วยโดยจำเลยร้องขอเป็นปืนชนิดนกนอกแล้วจึงพากันไป โดยนายอ่อนสีชวนนายบุญมีไปด้วยอีกคนหนึ่ง ไปพบนายจันดีผู้ตายอยู่บ้านนายเที่ยงผู้ใหญ่บ้านนายจันดีก็ยอมมาด้วยโดยดี กลับมาถึงบ้านนายอ่อนสีจวนค่ำแล้วนั่งพักอยู่สักครู่จำเลยว่าจะค่ำแล้วกลัวจะไม่ทันถึงบ้านกำนันขอเดินทางไปก่อน แล้วจำเลยนายจันดีนายบุญมาและนายสุบินก็พากันออกเดินมา โดยจำเลยขอเอาปืนลูกซองนั้นไปด้วย จำเลยกับพวกไปแล้วราว 5 หรือ 10 นาที นายอ่อนสีกับนายบุญมีก็ออกเดินตามไป ครั้งแรกเป็นทุ่งจึงเห็นหลังจำเลยกับพวกอยู่ห่างกันราว 7 หรือ 10 เส้นพอถึงโคกหนองฮังเป็นทางโค้ง เป็นป่า มองไม่เห็นพวกข้างหน้าได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด นายอ่อนสีและนายบุญมีจึงรีบไปเห็นจำเลยวิ่งถือปืนออกมาจากป่าข้างทาง นายอ่อนสีถามว่าเป็นอย่างไรกัน จำเลยว่ามีคนร้ายเรียกนายจันดีเข้าไปในป่า จำเลยตามเข้าไปด้วยแล้วคนร้ายยิงนายจันดีตาย จำเลยได้นำเข้าไปห่างทางเกวียน 5 วา ก็พบศพนายจันดีถูกปืนนอนตายอยู่ รอยถูกกระสุนปืนที่หน้าอกซ้ายนายอ่อนสีกับพวกพากันไปรายงานกำนันคล้าย ๆ ไม่อยู่ จึงทำรายงานไปอำเภอ ส่วนนายอ่อนสีรับปืนจากจำเลยแล้วกลับถึงบ้านหักปืนดูเห็นแต่ปลอกกระสุนปืนเปล่า ๆ แสดงว่ายิงแล้วจึงนึกทันทีว่าจำเลยเป็นคนยิงแล้วมาโกหก รุ่งขึ้นเช้านายอ่อนสีจึงมาตามจำเลยเมื่อพบกันแล้วได้พูดต่อว่าจำเลย ๆ ก็ว่าความจริงนายจันดีขอไปถ่ายอุจจาระจำเลยตามเข้าไปด้วย นายจันดีทำท่าจะถ่ายแล้วเข้าแย่งปืน ๆ เลยลั่นไปถูกนายจันดีตาย ที่ไม่บอกความจริงแต่แรกเพราะกลัวผิด วันนั้นเองร.ต.สุวรรณ นายอำเภอและตำรวจออกไปยังที่เกิดเหตุ นายอ่อนสีก็แจ้งเหตุให้ทราบตลอดทั้งที่จำเลยบอกครั้งแรกและครั้งหลังนายอำเภอได้ทำการชันสูตรศพผู้ตาย ปรากฏมีรอยถูกกระสุนปืนลูกซองเป็นเป็นกระจุกที่หน้าอกข้างซ้ายกระสุนฝังใน สังเกตว่ายิงในระยะกระชั้นชิดมาก เพราะกระสุนมิได้กระจายออก กับมีรอยดินปืนไหม้ที่บริเวณแผล นายอำเภอได้สอบถามจำเลย ๆ ก็ให้ถ้อยคำตรงกันกับคำนายอ่อนสี นายอำเภอได้ให้จำเลยทำท่าแบกปืนคุมผู้ตายว่าผู้ตายแย่งปืน และทำการถ่ายรูปไว้ แล้วส่งรูปพร้อมด้วยปืนของกลางไปให้กองวิทยาการกรมตำรวจพิสูจน์ว่า 1. ปืนกระบอกนี้เป็นนกนอกเวลาบรรจุกระสุนจะต้องขึ้นนกหรือไม่ 2. เมื่อบรรจุกระสุนแล้ว หากเหนี่ยวไกอย่างแรงโดยไม่ได้ขึ้นนกจะลั่นออกหรือไม่ ได้รับตอบจากทางกองวิทยาการว่า การบรรจุกระสุนไม่จำต้องขึ้นนกก็บรรจุได้และถ้าไม่ขึ้นนกจะเหนี่ยวไกแรงเท่าไรปืนก็ไม่ลั่น และตามรูปถ่ายเช่นนี้ปืนจะลั่นไม่ได้ นายอำเภอเองก็เห็นว่า จำเลยยิงเองไม่ใช่เกิดจากการแย่งแล้วปืนลั่น

ฝ่ายจำเลยอ้างตัวเองและมีพยานประกอบว่า เมื่อตอนเดินทางออกจากบ้านนายอ่อนสี นอกจากจำเลย นายจันดี นายสุบินและนายบุญมาแล้ว ยังมีนายบุดสี นายโสมมาด้วย พอถึงบ้านโคกหนองฮัง นายบุดสีนายโสมแยกไปทางหนึ่ง นายสุบิน นายบุญมาแยกไปทางหนึ่ง ตอนจะแยกกันนายจันดีจะขอเข้าไปถ่าย จำเลยจึงพานายจันดีเข้าป่าทางขวามือไปสัก 6-7 วา พอนายจันดีนั่งลงถ่าย จำเลยหันหน้าหนี นายจันดีก็กระโดดเข้าแย่งปืน โดยจำเลยจับปืนทางพานท้าย นายจันดีจับทางปากกระบอก ขณะนั้นจำเลยได้ร้องขึ้น แย่งปืนกันอยู่สักหนึ่งนาทีเศษ ปืนก็ลั่นขึ้น จะลั่นเพราะเหตุใดไม่ทราบ เมื่อรู้ว่าปืนลั่นถูกนายจันดีล้มลงแล้วจำเลยก็ถือปืนออกมาที่ทาง เห็นนายสุบินนายบุญมา นายบุดสี นายโสที่นั้น โดยคนทั้ง 4 ได้ยินเสียงจำเลยร้องก็วิ่งกลับมา จำเลยได้บอกว่านายจันดีแย่งปืน ๆ ลั่นถูกนายจันดีขณะนั้นนายอ่อนสีและนายบุญมียังไม่ถึง จำเลยได้สั่งพวกนั้นว่าอย่าพูดไปเพราะกลัวความผิด ครั้นนายอ่อนสีนายบุญมีมาถึงจำเลยจึงบอกว่า คนร้ายเรียกนายจันดีเข้าไปยิงตาย รุ่งขึ้นเมื่อนายอ่อนสีมาพบและพูดต่อว่า จำเลยจึงบอกความจริง

ได้ความดังนี้ ศาลชั้นต้นเชื่อว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนในขณะจำเลยกับผู้ตายยืนหันหน้าเข้าหากันในระยะกระชั้นชิดโดยการแย่งปืนและเชื่อว่าการที่ปืนลั่นขึ้น ก็โดยจำเลยมีเจตนายิง ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยกระทำการป้องกันเพราะปืนเป็นอาวุธร้ายแรง ที่เกิดเหตุก็เป็นป่า ผู้ตายล่ำสันสูงกว่าจำเลย หากผู้ตายแย่งไปได้แล้วก็จะเป็นอันตรายแก่จำเลยแต่เห็นต่อไปว่าเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จึงพิพากษาว่า จำเลยมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ประกอบด้วยมาตรา 53 ให้จำคุก 5 ปี

จำเลยแต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์คงฟังข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับศาลชั้นต้น และเห็นพ้องด้วยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัว แต่ไม่เห็นด้วยที่ว่าเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ เพราะได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า ผู้ตายเคยพูดไว้กับผู้อื่น เพื่อไม่ให้จำเลยติดตามจับผู้ตายว่าถ้าตามจับก็ต้องตาย และจำเลยทราบว่าผู้ตายมีลูกระเบิดมือด้วย ทั้งผู้ตายเป็นคนจรมีคดีอาญาติดตัวหลบหนีอยู่ และผู้ตายร่างกายล่ำสันสูงใหญ่กว่าเมื่อต่อสู้แย่งปืนกันเช่นนี้จำเลยย่อมเสียเปรียบ ถ้ารีรอไว้จนให้ผู้ตายแย่งปืนไปได้ จำเลยก็ย่อมตกอยู่ในภยันตรายอย่างยิ่ง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาคดีได้ความดังกล่าวมาคดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุเลย คงมีแต่ตัวจำเลยและผู้ตายเท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับบาดแผลของผู้ตายกับคำ ร.ต.สุวรรณ นายอำเภอ ที่ว่ายิงกันในระยะกระชั้นชิดมากและแผลถูกยิงที่หน้าอกแล้ว คดีมีเหตุผลควรเชื่อตามคำพยานจำเลยว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนขณะเข้าประจันหน้าแย่งปืนกันจริง และเชื่อได้ว่าจำเลยเจตนายิง หาใช่ปืนลั่นขึ้นเองไม่ เพราะปืนชนิดนกนอกเช่นนี้เพียงแต่แย่งปืนกันไม่ได้ง้างนกขึ้น ปืนจะลั่นขึ้นเองไม่ได้การกระทำของจำเลยดังกล่าวคงถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวดังที่ศาลทั้งสองวินิจฉัยมา ปัญหาต่อไปคงมีแต่ว่าจะเป็นป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ เห็นว่าการที่ผู้ตายเข้าแย่งปืนจากจำเลยก็เพื่อจะต่อสู้ขัดขวางไม่ให้จำเลยเอาตัวไปที่เกิดเหตุเป็นป่าและมีแต่ตัวจำเลยและผู้ตายเท่านั้น ได้ความว่าผู้ตายร่างกายล่ำสันสูงใหญ่กว่าจำเลยในการต่อสู้แย่งปืนกัน จำเลยย่อมเสียเปรียบและถ้ารอไว้ให้ผู้ตายแย่งปืนไปได้ ภยันตรายร้ายแรงย่อมตกอยู่แก่จำเลยเป็นแน่ จึงเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

Share