แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยที่ 4 ต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวหาความสำราญด้วยกันในที่เกิดเหตุโดยมิได้ประสงค์จะก่อการวิวาท หากแต่การวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนคบคิดด้วย ทั้งผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กขูดชาฟท์ของบุคคลอื่นที่มิใช่จำเลยที่ 4 ความตายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ดังนี้ จะให้ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 ยังไม่ได้ จำเลยที่ 4 คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามที่กระทำไปเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๒๙๕, ๘๓, ๙๑, ๓๓ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก, ๒๙๕, ๘๓ การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งสี่ตาม ป.อ. มาตรา ๗๕ และมาตรา ๗๖ แล้วจำคุกคนละ ๓ ปี จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๒ ปี จำเลยทั้งสี่แม้จะเป็นเยาวชนแต่ได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา โดยได้กระทำในที่สาธารณะและมีผู้คนอยู่จำนวนมาก อันเป็นการอุกอาจ การที่จะใช้วิธีการคุมประพฤติจำเลยทั้งสี่จึงเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๐๔ (๒) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสี่ไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มีกำหนดขั้นต่ำคนละ ๒ ปี ขั้นสูงคนละ ๓ ปี นับแต่วันพิพากษา ริบของกลาง ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง ผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกและจำเลยทั้งสี่กับพวกต่างไปเที่ยวงานสวนสนุกบริเวณเชิงสะพานพระราม ๗ กรุงเทพมหานคร แล้วเกิดวิวาทกัน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ กับพวกได้ร่วมกันชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายกับผู้ตายและพวกของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ คนหนึ่งใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๔ ในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยที่ ๔ เป็นคนร้ายร่วมในการทำร้ายผู้เสียหายกับผู้ตายด้วยหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ระหว่างกลุ่มผู้ตายกับกลุ่มจำเลยที่ ๔ เต้นรำบริเวณลานรถบั้มพ์ในงาน มีคนถีบหลังผู้เสียหายแล้วเกิดการชกต่อยกัน ผู้ตายเข้าช่วยผู้เสียหาย จำเลยที่ ๔ ซึ่งอยู่คนละกลุ่มกับผู้ตายได้เข้ามารุมทำร้ายผู้เสียหายด้วย แต่ผู้เสียหายมิได้ยืนยันว่าจำเลยที่ ๔ ทำร้ายผู้เสียหายในลักษณะใด เห็นว่า พยานโจทก์ปากผู้เสียหายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๔ มาก่อน อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวยังสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ ๔ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ ๔ ชกต่อยผู้ตายกับพวกจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้ฆ่าผู้ตายเช่นนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๔ จึงมีเหตุอันควรเชื่อ ที่จำเลยที่ ๔ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๔ อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่มิได้ร่วมในการทำร้ายผู้เสียหายกับผู้ตายจึงไม่พอฟังหักล้าง
ปัญหาต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยที่ ๔ เป็นความผิดฐานใด เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยที่ ๔ ต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวหาความสำราญด้วยกัน ในที่เกิดเหตุโดยมิได้ประสงค์จะก่อการวิวาท หากแต่การวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจำเลยที่ ๔ ไม่มีส่วนคบคิดด้วย ทั้งผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กขูดชาฟท์ของบุคคลอื่นที่มิใช่จำเลยที่ ๔ ดังนี้ ความตายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ ๔ ดังนี้ จะให้ชี้ชัดว่าจำเลยที่ ๔ มีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ ดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ยังไม่ได้ จำเลยที่ ๔ คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ ตามที่กระทำไปเท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ ๔ ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๔ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ ลดมาตราส่วนโทษตาม ป.อ. มาตรา ๗๕ ปรับ ๑,๕๐๐ บาท คำรับสารภาพของจำเลยที่ ๔ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๔ ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือน มีกำหนด ๑ ปี ให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ ๔ เห็นสมควรมีกำหนด ๑๒ ชั่วโมง โดยต้องปฏิบัติให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน ห้ามคบเพื่อนไม่ดีและห้ามเที่ยวเตร่ในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.