แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้ว่าสัญญาจำนำและรักษาทรัพย์ ข้อ 3 จะมีข้อตกลงว่า ผู้จำนำจะได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในเครื่องจักรที่จำนำก็ไม่ถือว่าเครื่องจักรกลกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำก็ตาม ก็เป็นการเขียนสัญญาไว้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย ทั้งในการตีความการแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 เมื่อเจตนาที่แท้จริงของลูกหนี้ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินที่จำนำ การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำเครื่องจักรยอมให้ลูกหนี้เข้าใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินจำนำย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตาม ป.พ.พ. มาตรา 769 (2) แล้ว สิทธิจำนำของผู้ร้องจึงระงับสิ้นไป ผู้ร้องจึงไม่มีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตามสัญญาจำนำเครื่องจักร
เจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลหนี้จ้างทำของต้องทำรายการประมาณราคาชั่วคราวไปบอกลงทะเบียนไว้ก่อนเริ่มลงมือทำการก่อสร้างเพื่อให้มีผลบริบูรณ์เป็นบุริมสิทธิพิเศษใช้ยันเจ้าหนี้อื่นในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 286 แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการดังกล่าว นอกจากนี้ บุริมสิทธิในมูลจ้างทำของอันเป็นการงานขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายให้มีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ทำการงานขึ้น และอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องเป็นของลูกหนี้ แต่ที่ดินซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างโรงโม่หินเป็นของกรมป่าไม้มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 273 และมาตรา 275 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,135,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,800,000 บาท นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2539 ของต้นเงิน 4,560,000 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 ของต้นเงิน 2,925,000 บาท นับแต่วันที่ 14 กันยายน 2539 และของต้นเงิน 5,850,000 บาท นับแต่วันที่ 14 กันยายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไว้เพื่อทำการขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากผู้ร้องเป็นเงินจำนวน 40,000,000 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังทำสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนจากผู้ร้องเพื่อนำไปใช้ในโครงการของจำเลยที่ 1 อีกในวงเงินไม่เกิน 27,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้โดยยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจำนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ไว้แก่ผู้ร้องรวม 5 ครั้ง จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินกู้และเงินทุนหมุนเวียนไปจากผู้ร้องครบจำนวนแล้ว แต่ต่อมาผิดนัดชำระหนี้ ผู้ร้องฟ้องให้จำเลยทั้งสองกับพวกรวม 3 คน ให้ชำระหนี้แก่ผู้ร้องรวมเป็นต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยค่าเบี้ยประกันภัยและค่าดอกเบี้ยของเบี้ยประกันภัยคิดถึงวันยื่นคำร้องขอทั้งสิ้น 113,827,286.07 บาท คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จำนวน 48 รายการ สำหรับทรัพย์ลำดับที่ 1 ถึงที่ 4 ลำดับที่ 7 ถึงลำดับที่ 10 และ ลำดับที่ 13 ถึงที่ 47 จำเลยที่ 1 ได้จำนำเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเฉพาะทรัพย์ลำดับที่ 1 ถึงลำดับที่ 4 ลำดับที่ 7 ถึงที่ 10 และลำดับที่ 13 ถึงที่ 47 ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนโจทก์และเจ้าหนี้สามัญอื่นๆ ตามกฎหมาย หากโจทก์เพิกเฉยไม่กระทำการบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ หรือสละสิทธิในการบังคับคดี หรือถอนการบังคับคดีและทำให้การบังคับคดีล่าช้า ขอให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิในการบังคับคดีแทนโจทก์เพื่อบังคับคดีต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ยังไม่มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอ การจำนำทรัพย์ระหว่างจำเลยที่ 1 และผู้ร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะว่าทรัพย์สินทั้งหมดดังกล่าวโจทก์เป็นผู้จัดทำขึ้นและในวันเวลาที่จำเลยที่ 1 นำไปจำนำแก่ผู้ร้องนั้น โจทก์ยังไม่ได้จัดทำหรือส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างใด และทรัพย์สินที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นส่วนควบของโรงโม่หินของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์นำยึดไว้ซึ่งมีลักษณะเป็นอสังหาริมทรัพย์อันไม่อาจจำนำได้ ผู้ร้องยินยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 การจำนำย่อมระงับสิ้นไป พร้อมโจทก์ ทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในลำดับที่ 1 ถึงที่ 4 ลำดับที่ 7 ถึงที่ 10 และลำดับที่ 13 ถึงที่ 47 ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 จำนำไว้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องรับจำนำไว้โดยไม่สุจริต โจทก์มีบุริมสิทธิในมูลหนี้จ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ (โรงโม่หินที่โจทก์นำยึดในคดีนี้) โจทก์ย่อมมีบุริมสิทธิดีกว่าผู้ร้องในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดตามคำร้องขอก่อนผู้ร้อง ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 จึงจัดทำนิติกรรมในรูปแบบของการจำนำเพื่ออำพรางการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสาร การจำนำดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ผู้ร้องจึงไม่อาจถือเอาประโยชน์แห่งนิติกรรมอันเป็นโมฆะมาร้องเป็นคดีนี้ได้ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีนี้ ในลำดับหลังจากที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเฉพาะทรัพย์ลำดับที่ 1 ถึงที่ 4 ลำดับที่ 7 ถึงที่ 11 (ที่ถูกถึงที่ 10) และลำดับที่ 13 ถึงที่ 47 ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนโจทก์ หากโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดีก็ให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิในการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าจำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างโรงโม่หินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนจากผู้ร้องมาใช้ในกิจการโรงโม่หินของจำเลยที่ 1 โดยทำสัญญาจำนำเครื่องจักรบางส่วนภายในโรงงานไว้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจำนำและรักษาทรัพย์เพื่อเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดโรงโม่หินของจำเลยที่ 1 อันเป็นทรัพย์ที่โจทก์เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2542 สำหรับหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมจากผู้ร้องนั้น จำเลยที่ 1 ผิดนัด ผู้ร้องฟ้องให้จำเลยทั้งสองกับพวกชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองกับพวกชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประการแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิตามสัญญาจำนำเพียงใด เห็นว่า การจำนำเครื่องจักรโดยคู่สัญญาจำนำตกลงให้นางอรวรุณ ภริยาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นผู้รักษาทรัพย์สินจำนำ และได้ความจากนายทรงวุฒิกับนายเกรียงไกรพยานผู้ร้องว่า จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้เป็นผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินจำนำในการประกอบธุรกิจโรงโม่หินของตนตลอดมา ซึ่งเครื่องจักรนั้นจำเลยที่ 1 ผู้จำนำ ซื้อจากโจทก์เพื่อผลิตสินค้าออกจำหน่ายสร้างรายได้ และนำเงินชำระคืนแก่ผู้ร้องซึ่งรับจำนำ การจำนำเครื่องจักรจึงเป็นหนทางที่สะดวกและรวดเร็วกว่าการจดทะเบียนจำนอง แสดงให้เห็นถึงเจตนาของลูกหนี้ที่ต้องการใช้เครื่องจักรนำมาผลิตสินค้าเพื่อประโยชน์ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าสัญญาจำนำจะรักษาทรัพย์ ข้อ 3 มีข้อตกลงว่า ผู้จำนำจะได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในเครื่องจักรที่จำนำก็ไม่ถือว่า เครื่องจักรกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำก็ตาม ก็เป็นการขียนสัญญาไว้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย ทั้งในการตีความการแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 เมื่อเจตนาที่แท้จริงของลูกหนี้ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินที่จำนำ การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำเครื่องจักรยอมให้ลูกหนี้เข้าใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินจำนำย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) แล้ว สิทธิจำนำของผู้ร้องจึงระงับสิ้นไป ผู้ร้องจึงไม่มีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตามสัญญาจำนำเครื่องจักร ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลหนี้จ้างทำของอันเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหนี้มีบุริมสิทธิในมูลหนี้จ้างทำของนั้น เจ้าหนี้ต้องทำรายการประมาณราคาชั่วคราวไปบอกลงทะเบียนไว้ก่อนเริ่มลงมือทำการก่อสร้างเพื่อให้มีผลบริบูรณ์เป็นบุริมสิทธิพิเศษใช้ยันเจ้าหนี้อื่นในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 286 แต่ตามข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการดังกล่าวนอกจากนี้ บุริมสิทธิในมูลจ้างทำของอันเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายให้มีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ทำการงานขึ้น และอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องเป็นของลูกหนี้ แต่ที่ดินซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างโรงโม่หิน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เป็นของกรมป่าไม้มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 และมาตรา 275 โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิเช่นกัน ดังนั้น ทั้งโจทก์และผู้ร้องต่างก็เป็นเจ้าหนี้สามัญด้วยกัน จึงชอบที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 เพื่อขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ