คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลขที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์อยู่ จำเลยที่ 3 ได้คิดบัญชีกับโจทก์แล้วได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้ทำแทน แต่มีพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่ก็ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการในกิจการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นด้วย ตามมาตรา 1088
จำเลยที่ 1ชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่าย แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งว่า หากจำเลยที่ 3 ไม่ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามมาตรา 127 หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมความกันได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อมีการรับสภาพหนี้แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วัน ทำสัญญารับสภาพหนี้ตามมาตรา 172,181

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ได้ทำหนังสือมอบอำนาจช่วงแต่งตั้งให้นายวรเทพ กุศลสมบูรณ์ มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ รวมทั้งดำเนินอรรถคดีในศาล จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ เป็นสามีภรรยากัน และต่างเป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ได้ขายสินค้าเชื่อให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ จึงได้หยุดขาย โจทก์ได้รับชำระหนี้จากธนาคารที่ค้ำประกันหนี้จำเลยบ้างแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๓ อยู่ตามในกำกับสินค้ารวม ๒๔ ฉบับ เป็นเงิน ๔๖๒,๗๒๙.๘๐ บาท และหนี้ตามเช็ครวม ๑๑ ฉบับ ซึ่งจำเลยชำระเป็นค่าสินค้าและถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นเงิน ๗๐๖,๕๖๐ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑,๑๖๙,๒๘๙.๘๐ บาท ต่อมาในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๓ ในฐานะส่วนตัวและผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ได้ยอมให้คิดดอกเบี้ยในยอดเงินที่ค้างตามใบกำกับสินค้าในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนและโจทก์ย่อมหักเงินค่าโฆษณาส่งเสริม ค่าส่วนลด และค่ารับสินค้าคืน เมื่อคิดหักกันแล้วจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๙๗๑,๑๕๗ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ตามภาพถ่ายเอกสารหมายเลข ๗ ท้ายฟ้อง หลักจากทำสัญญารับสภาพหนี้ดังกล่าวแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๔ โจทก์จึงได้ใช้สิทธิตามสัญญารับสภาพหนี้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๖๐๓ และ ๕๗๖๐๔ ของจำเลยที่ ๓ ให้แก่บุคคลอื่นไป โดยโจทก์คิดราคาตามสัญญารับสภาพหนี้ตารางวาละ ๖๐๐ บาทให้เป็นเงิน ๕๔๖,๐๐๐ บาท เป็นการหักใช้หนี้ จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีก ๔๒๕,๑๕๗ บาท เมื่อโจทก์ขายที่ดินทั้งสองแปลงไปแล้ว ๔ เดือน จำเลยไม่มาตกลงกับโจทก์ในการชำระหนี้ที่ค้างต่อไปตามสัญญารับสภาพหนี้ โจทก์ได้ให้ทนายมีหนังสือเตือนไปอีก จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๔๒๕,๑๕๗ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยได้ชำระหนี้ส่วนใหญ่ให้โจทก์แล้ว หนี้ตามฟ้องมากเกินความเป็นจริง โจทก์เอาความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คมาบีบบังคับให้จำเลยที่ ๓ จำต้องยอมทำสัญญารับสภาพหนี้โดยไม่สมัครใจเป็นการเอาผลคดีแพ่งแลกเปลี่ยนกับคดีอาญา สัญญารับสภาพหนี้จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๓ ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้แทน หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าค้างชำระเมื่อสัญญารับสภาพหนี้ไม่มีผลใช้บังคับ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๔๒๕,๑๕๗ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และจำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด จำเลยที ๑ เคยติดต่อซื้อสินค้าจากโจทก์และยังเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์อยู่จริงตามฟ้อง จำเลยที่ ๓ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไว้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๕๙ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๕๙ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าการทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เกิดจากการข่มขู่โดยโจทก์เอาคดีอาญาเรื่องออกเช็คไม่มีเงินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คมาบีบบังคับให้จำเลยที่ ๓ จำต้องยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ ตามนับคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๓๐/๒๕๑๓ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าการทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสาร จ.๕๙ นั้น จำเลยที่ ๓ ได้ทำด้วยความสมัครใจ โดยปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ ได้นำบัญชีของตนตามเอกสารหมาย จ.๖๐ มาร่วมคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ด้วย โดยใช้เวลาคิดบัญชีต่อกันเป็นเวลานานถึง ๓-๔ ชั่วโมง จึงหาใช่เกิดจากการข่มขู่ไม่ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งกับจำเลยว่า หากจำเลยที่ ๓ ไม่ตกลงโดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๓ ในข้อหาออกเช็คโดยไม่มีเงินนั้น ก็เห็นเป็นการขู่จะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๗ หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๕๙ นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมได้ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิง รูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้
ประเด็นที่สาม ในเมื่อจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๓ ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ หนังสือสัญญารับสภาพหนี้จะผูกพันจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ดูพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๓ แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๓ ได้สอดเข้าไปจัดการในกิจการของจำเลยที่ ๑ โดยเป็นผู้ติดต่อเรื่องสินค้า สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ ๑ และเป็นผู้รับสินค้าสั่งซื้อเอง ในการชำระเงินค่าสินค้าแก่โจทก์จำเลยที่ ๓ ก็เป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเอง ทั้งจำเลยที่ ๓ ก็ได้เคยทำสัญญาตกลงเกี่ยวกับหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ในนามของจำเลยที่ ๑ มาแล้ว พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าว จึงได้ว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้เชิดให้จำเลยที่ ๓ ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ตลอดมา ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๓ ไปทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๕๙ จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่จำเลยที่ ๓ ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการในกิจการของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๘๘ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่สี่ หนี้ตามฟ้องขาดอายุความหรือไม่ ได้พิเคราะห์แล้วที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วว่า หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๕๙ มีผลบังคับตามกฎหมาย หาได้ตกเป็นโมฆะไม่ ตามประเด็นที่สอง ฉะนั้น เมื่อมีการสภาพหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และย่อมเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วันทำสัญญารับสภาพหนี้ คือวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ และ ๑๘๑ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างระยะเวลา ๒ ปี คดีโจทก์จึงยับไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงตกไป
พิพากษายืน
(สอน ไชยสุต ธานินทร์ กรัยวิเชียร ศิริ อติโพธิ)

Share