คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดทำให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี ซึ่งเป็นหน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการรับจ้างทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี มีข้อความด้วยว่า ‘และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่ 1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคคลใดๆ อันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ค่าแรงงาน หรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้ และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว’ ข้อกำหนดนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานี้ได้
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึงบุคคลที่สามก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความผูกพันตนต่อโอ.ไอ.ซี.ซี เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้นสัญญาดังกล่าวนี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใดจึงมีผลบังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่
เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ ศาลก็ย่อมรับฟังสัญญาค้ำประกันนั้นได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการชื่อว่าสัญญา เอ็น-63008-68-ซี-0291 การติดตั้งไฟฟ้า 2 เพส เอฟ วาย 67 อาร์ทีเอ็น เอ็มเอพี เอฟเอซี ที่สัตหีบ ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2511 จนงานเสร็จเรียบร้อยตามโครงการ วันที่ 19 ตุลาคม 2511 จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับโจทก์จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2511 เป็นเงิน 21,054 บาท และโจทก์จะได้รับค่าจ้างพิเศษอีก 60,000 บาท จำเลยที่ 1 จ่ายให้แล้ว 6,000 บาท คงเหลือ 54,000 บาท รวมเงินที่ค้างทั้งสิ้น 75,054 บาท

จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญา เอ็น – 63008 – 68 – ซี – 0291 ต่อรัฐบาลสหรัฐ ตามหนังสือค้ำประกันนั้นคลุมถึงจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างของลูกจ้าง บริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย ตามสำเนาหมาย 3 ท้ายฟ้อง โจทก์เป็นบุคคลที่สามอันมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าว และได้แสดงเจตนาขอรับชำระจากจำเลยที่ 2 แล้วโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันบอกเลิกสัญญาถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 83,497 บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 75,054 บาทนับแต่วันฟ้องถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์ด้วย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ตามสัญญาโจทก์จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 8,000 บาทเท่านั้น เงินเดือนที่โจทก์ยังไม่ได้รับ 20,900 บาท จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ไปรับโจทก์เพิกเฉย โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1ให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี. มิได้ค้ำประกันหนี้ต่อโจทก์ สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก หากจำเลยที่ 1 จะได้ว่าจ้างจริง ก็ได้ชำระค่าจ้างเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังไม่ชำระก็เป็นความผิดของโจทก์ที่ทำงานบกพร่องเสียหาย โจทก์ชอบที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 75,054 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 21,058 บาท นับแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2511 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจากต้นเงิน 54,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้แก่โจทก์ ก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบ

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมาความว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1ต่อรัฐบาลสหรัฐ หรือเรียกว่า โอ.ไอ.ซี.ซี ในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างกับ โอ.ไอ.ซี.ซี และจำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบงานที่รับจ้างทำเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 2 กับโจทก์มิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ข้อกำหนดในสัญญาค้ำประกันที่ระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมไปถึงบุคคลที่สามเป็นโมฆะ ทั้งในสัญญาค้ำประกันก็ไม่ได้ระบุว่าบุคคลที่สามคือโจทก์หรือเป็นผู้ใด จึงให้จำเลยที่ 2 รับผิดไม่ได้ ต้นฉบับสัญญาค้ำประกันโจทก์ไม่ได้อ้างส่งศาลจึงรับฟังไม่ได้

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการสัญญา เอ็น-63008-68-ซี-0291 ซึ่งบริษัทจำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดทำให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี หน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐโจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาจ้างต่อกันปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 บริษัทจำเลยที่ 1ชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญา โจทก์จึงมาฟ้องเรียกค่าจ้างเป็นคดีนี้ และขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ร่วมรับผิดด้วย

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ต่อรัฐบาลสหรัฐหรือ โอ.ไอ.ซี.ซี ในการที่จำเลยที่ 1 รับจ้างทำงานกับ โอ.ไอ.ซี.ซี โดยมิได้มีสัญญากับโจทก์โดยตรงก็ตาม แต่ข้อความในสัญญาค้ำประกันฉบับนั้นตามคำแปลที่ว่า”และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่ 1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคคลใด ๆอันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ค่าแรงงานหรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้ และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว” เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานั้นได้ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ข้อกำหนดในสัญญาค้ำประกันที่ระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมไปถึงบุคคลที่สามเป็นโมฆะ โดยอ้างเหตุว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึงบุคคลที่สามนั้นเห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความดังกล่าวแล้วเป็นการผูกพันตนต่อรัฐบาลสหรัฐหรือ โอ.ไอ.ซี.ซี เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้น เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใด จึงมีผลบังคับได้หาตกเป็นโมฆะไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้อ้างต้นฉบับสัญญาค้ำประกันเป็นพยานจึงรับฟังไม่ได้ และโจทก์มิได้ทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้นั้น ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิเสธว่ามิได้ทำสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาล ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแล้วฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share