คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สมาคมพาณิชย์อินเดียหรือหอการค้าอินเดีย โจทก์เป็นนิติบุคคล แม้การเข้าอยู่ในโรงเรือนของนิติบุคคลไม่อาจพึงเป็นได้เช่นบุคคลธรรมดา แต่การที่โจทก์มีคณะกรรมการบริหารดำเนินกิจการแทน และโจทก์ได้ใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและให้คนเฝ้ารักษา ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่า เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนเฝ้ารักษาตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 มาตรา 3 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้ใช้โรงเรือนดังกล่าวขายอาหาร เครื่องดื่ม แก่สมาชิก และมีโต๊ะบิลเลียดให้สมาชิกเล่นนั้น ก็ปรากฏว่ามีระเบียบห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเล่น และที่ว่าโจทก์ได้ให้เช่าสนามเล่นแบดมินตันด้วย ก็ยังฟังแน่นอนไม่ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวหาพอที่จะถือว่าโรงเรือนใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสมาคม โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีอาคารเลขที่ ๑๓ ปลูกอยู่บนที่ดิน โจทก์ใช้อาคารและที่ดินดังกล่าวเป็นสำนักงานเพื่อดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์โดยมีคณะกรรมการเจ้าหน้าที่เป็นตัวแทนดำเนินการและมีตัวแทนอยู่เฝ้ารักษา จำเลยได้แจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนสำหรับอาคารเลขที่ ๑๓ สำหรับปี ๒๕๑๐ ถึง ปี ๒๕๑๔ กำหนดค่ารายปี ๆ ละ ๖๐,๐๐๐ บาท เสียภาษีปีละ ๗,๕๐๐ บาท โจทก์เห็นว่าโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียจึงยื่นอุทธรณ์ต่อคณะเทศมนตรีของจำเลย คณะเทศมนตรีแจ้งให้โจทก์ทราบว่าการประเมินภาษีของเจ้าหน้าที่จำเลยถูกต้องแล้ว โจทก์ได้เสียภาษีและค่าปรับรวมเป็นเงิน ๓๙,๓๗๕ บาท ให้จำเลย โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของคณะเทศมนตรียังไม่ถูกต้อง เพราะอาคารเลขที่ ๑๓ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งโจทก์ใช้อยู่เอ และมีผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม โจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่ และคำชี้ขาดของคณะเทศมนตรีของจำเลยเสีย ให้จำเลยคืนเงินภาษีและค่าปรับ ๓๙,๓๗๕ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี เพราะโรงเรือนพิพาทมิได้ปิดไว้ตลอดปี แต่เปิดดำเนินการและประกอบการค้าโจทก์เป็นนิติบุคคลไม่อาจจะเข้าอยู่เองได้เช่นบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่อยู่ในข่ายได้รับยกเว้นการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและการที่คณะเทศมนตรีชี้ขาด อุทธรณ์ของโจทก์ เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีของอาคารเลขที่ ๑๓ ประจำปี ๒๕๑๐ ถึง ๒๕๑๔ รวมทั้งคำชี้ขาดของคณะเทศมนตรีจำเลยเสีย ให้จำเลยคืนเงินภาษีและค่าปรับที่รับไว้ ๓๙,๓๗๕ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ใช้โรงเรือนพิพาทเป็นสำนักงานดำเนินการบริหารกิจการของคณะกรรมการหอการค้า มีคนเฝ้ารักษาโรงเรือน ศาลฎีกาเห็นว่าแม้หอการค้าโจทก์จะเป็นนิติบุคคลการเข้าอยู่ของนิติบุคคลไม่อาจพึงเป็นได้เช่นบุคคลธรรมดาก็จริง แต่การที่โจทก์มีคณะกรรมการบริหารดำเนินกิจการแทน และโจทก์ได้ใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและให้คนเฝ้ารักษาย่อมอยู่ในความหมายของคำว่าเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทน อยู่เฝ้ารักษาตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ แล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ได้ความอีกว่าโจทก์ได้ใช้โรงเรือนดังกล่าวขายอาหาร เครื่องดื่ม แก่สมาชิกและมีโต๊ะบิลเลียดให้สมาชิกเล่นนั้น ก็ปรากฏว่ามีระเบียบห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเล่นที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้ให้เช่าสนามเล่นแบดมินตันด้วย ก็ยังฟังแน่นอนไม่ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวหาพอที่จะถือว่าโรงเรือนพิพาทใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตาสหกรรมตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นไม่
พิพากษายืน

Share