คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำอนาจารโดยอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าแล้ว กอดจูบ ผู้เสียหาย หลังจากนั้นได้อุ้มผู้เสียหายต่อ เข้าไปอีกแล้ว พยายามกระทำชำเรา ผู้เสียหาย แม้จะมีระยะทางห่างกันถึง ๒๐ เส้น แต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดย ความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเรา ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗, ๒๗๙, ๘๐, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗, ๒๗๙, ๘๐, ๙๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ให้ เรียงกระทงลงโทษ ฐานอนาจาร จำคุก ๔ ปี ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก ๖ ปี รวมจำคุก ๑๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้าย กระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่ศาลฎีกา เห็นว่า การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่า แล้วกอดจูบผู้เสียหาย หลังจากนั้นได้อุ้มผู้เสียหายต่อเข้าไปอีกแล้ว พยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย แม้จะมีระยะทางห่างกันถึง ๒๐ เส้น แต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน โดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเรา ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ และมาตรา ๒๗๙ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๙ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มี โทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๘ ปี.

Share