คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การประกันชีวิตที่ผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น จะต้องเป็นการปกปิดความจริงหรือแถลงความเท็จในข้อสารสำคัญเฉพาะในเวลาเข้าทำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น
แม้ผู้ขอประกันชีวิตจะปกปิดหรือแถลงเท็จเกี่ยวกับฐานะอันแท้จริง หากผู้รับประกันภัยควรจะได้รู้เท่าทันถึงฐานะของบุคคลนั้น โดยใช้ความระมัดระวังสอดส่องเยี่ยงวิญญูชนแล้วสัญญาประกันชีวิตนั้นก็เป็นอันสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 866 ผู้รับประกันภัยหามีสิทธิบอกล้างไม่
ไม่มีกฎหมายบทใดจำกัดสิทธิผู้เอาประกันภัยว่าจะระบุใครเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้บ้าง แม้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ญาติของผู้เอาประกันภัย ก็อาจถูกระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้
ผู้เอาประกันชีวิตถูกคนร้ายยิงตาย โดยไม่ปรากฏว่าคนร้ายเป็นใคร ถือว่าเป็นการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายพันสามีโจทก์ได้ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลยเป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท หากเป็นกรณีตายโดยอุปัทวเหตุบริษัทจำเลยต้องจ่ายเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์คนที่ ๑ นายเสงี่ยม สว่างจิตร เป็นผู้รับประโยชน์คนที่ ๒ นายพันถูกคนร้ายยิงตาย ซึ่งเป็นการตายโดยอุปัทวเหตุ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน๑๔๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ จำเลยไม่ยอมชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า นายพันถูกคนร้ายยิงตาย หาใช่อุบัติเหตุไม่ นายพันได้ปกปิดความจริงกับบริษัทในข้อสารสำคัญหลายประการ เกี่ยวกับรายได้และการชำระเบี้ยประกัน สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ จำเลยบอกล้างแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้แทนของบริษัทจำเลยได้ไปชักชวนให้นายพันเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลยและได้เขียนคำขอประกันชีวิตให้ ทั้งรายงานการสืบสวนประกอบคำขอด้วยว่านายพันมีฐานะเพียงพอที่จะประกันชีวิตด้วยจำนวนเงินเอาประกัน ๗๐,๐๐๐ บาทได้ แพทย์ของบริษัทจำเลยได้ตรวจร่างกายแล้วว่ามีสุขภาพดี ผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยจึงอนุมัติให้ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตได้ รวมทั้งออกกรมธรรม์อุปัทวเหตุควบคู่กันไปด้วยต่อมานายพันถูกคนร้ายหลอกเอาตัวไปฆ่า เจ้าหน้าที่บริษัทจำเลยได้ไปสอบสวนและบันทึกถ้อยคำของโจทก์และนายเสงี่ยม สว่างจิตร ไว้ ปรากฏตามเอกสาร ล.๒ และ ล.๓ ซึ่งมีความว่า นายพันมีรายได้น้อย นายเสงี่ยมผู้รับประโยชน์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันให้ ภายหลัง ผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยได้มีหนังสือบอกล้างกรมธรรม์ไปยังโจทก์และนายเสงี่ยมอ้างว่าสามีโจทก์ปกปิดความจริงในข้อสารสำคัญ พร้อมกับส่งเบี้ยประกันงวดแรกที่ชำระแล้วคืนนายเสงี่ยม
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า เอกสาร ล.๒, ล.๓ ย่อมใช้ยันโจทก์ในชั้นพิจารณาของศาลได้ ทั้งนายเสงี่ยมให้ถ้อยคำด้วยความเต็มใจนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการประกันชีวิตที่ผู้รับประกันภัยจะมีสิทธิบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕ นั้น จะต้องเป็นการปกปิดความจริงหรือแถลงความเท็จในข้อสารสำคัญเฉพาะในเวลาเข้าทำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น เพราะฐานะของบุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระเช่นการค้าขายหรือกสิกรรม ฯลฯ อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาและไม่แน่นอน ทั้งไม่ใช่สิ่งที่พึงปิดบังกันได้ง่าย หากผู้รับประกันภัยควรจะได้รู้เท่าทันถึงฐานะของบุคคลโดยใช้ความระมัดระวังสอดส่องเยี่ยงวิญญูชนแล้ว แม้ผู้ขอประกันชีวิตจะปกปิดหรือแถลงเท็จเกี่ยวกับฐานะอันแท้จริง ผู้รับประกันภัยก็หามีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมได้ไม่ เพราะมาตรา ๘๖๖ ให้ถือว่าสัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์แล้วพฤติการณ์ในคดีนี้ปรากฏว่าผู้แทนบริษัทจำเลยได้สืบสวนฐานะของนายพันผู้เอาประกันแล้ว นายพันแจ้งว่ามีอาชีพหลักคือทำนา มีรายได้ประมาณปีละ ๒๕,๐๐๐ บาท ถัวเฉลี่ยตกเดือนละ๒,๐๐๐ กว่าบาท ซึ่งน่าจะสูงเกินความจริงไปบ้างสำหรับชาวนาธรรมดาทั่วไป ผู้แทนบริษัทจำเลยน่าจะสอดส่องเปรียบเทียบกับฐานะของชาวนาในละแวกเดียวกับนายพันได้ไม่ยาก กลับสนับสนุนตามที่นายพันแจ้งซ้ำรับรองด้วยว่านายพันมีฐานะเพียงพอประกันชีวิตได้ การที่นายพันจะปกปิดความจริงหรือแถลงเท็จเกี่ยวกับรายได้จากการทำนาอย่างไรและเบี้ยประกันจะเป็นของนายพันเองหรือไม่นั้น บริษัทจำเลยก็คงมิได้ถือเป็นเหตุบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตกับนายพันจะมาอ้างในภายหลังว่าสัญญาประกันชีวิตไม่สมบูรณ์มาแต่แรกหาได้ไม่ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่าเอกสาร ล.๒, ล.๓ จะฟังว่าเกิดจากความบริสุทธิ์ใจของผู้ให้ถ้อยคำไม่ได้ และโจทก์นำสืบฟังได้ว่านายพันมีอาชีพเป็นหลักแหล่งทั้งมีที่ดินของตนเอง จะว่าไม่มีฐานะเพียงพอจะประกันชีวิตทีเดียวหาได้ไม่และเบี้ยประกันที่ส่งงวดแรกไปแล้ว นายพันก็ย่อมออกชำระเองได้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า นายเสงี่ยมผู้รับประโยชน์ไม่ใช่ญาติของนายพันจะเข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีกฎหมายบทใดจำกัดสิทธิผู้เอาประกันภัยว่าจะระบุใครเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้บ้างแม้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ญาติของผู้เอาประกันภัยก็ย่อมถูกระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้ จะถือว่าเป็นการเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากกรมธรรม์โดยไม่สุจริตเสมอไปไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีเหตุอันควรจะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตของนายพันได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การตายของนายพันเป็นการตายโดยเจตนาของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะฆ่าให้ตาย ไม่ใช่อุบัติเหตุนั้น เห็นว่า นายพันถูกคนร้ายยิงตาย ไม่ปรากฏต่อทางสืบสวนของตำรวจว่าคนร้ายเป็นใครนับว่าเป็นการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุแล้ว
พิพากษายืน

Share