แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรมต่างกันคือ ฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย แก่กายกระทงหนึ่ง และฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับความผิดกระทงหลังฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ความผิดกระทงหลังนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองนำเอาการตายของผู้ตายซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำความผิดกระทงหลัง มารับฟังว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยในความผิดกระทงแรกแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 290 นั้น เป็นการพิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องสำหรับความผิดกระทงแรก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ (๔) (๕), ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓ จำคุก คนละ ๘ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ เสียจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๗ เวลา ๑๙ นาฬิกาเศษ ผู้ตายได้ถูกคนร้ายหลายคนรุมทำร้ายร่างกาย แล้ว ย. ญาติผู้ตายได้พาผู้ตายไปส่งที่บ้าน ต. ยายผู้ตาย ซึ่งผู้ตายพักอาศัยอยู่ด้วย วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ต. พบผู้ตายไปนอนอยู่ที่คอกกระบือข้างบ้าน ย. ได้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ได้รับตัวผู้ตายไว้รักษาพยาบาล แต่ผู้ตายได้ถึงแก่ความตายในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๗ เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัย เสียก่อนว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาในตอนแรกว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ได้ชกต่อยผู้ตายถูกที่ปากและ ดั้งจมูก จนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กาย แล้วมีคนเข้าห้ามปรามให้แยกจากกัน จากนั้น ย.ได้พาผู้ตายไป นอนพักที่บ้าน ต่อมาเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา จำเลยทั้งสองกับพวกได้ไปพาผู้ตายออกจากบ้าน แล้วรุมชกต่อยผู้ตายและจับตัวผู้ตายโยนลงบนพื้นดินจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและสลบไป ต่อมาผู้ตายได้ถึงแก่ความตายจาก พิษบาดแผลที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันทำร้ายดังกล่าว ในลักษณะสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เนื่องจากถูกจำเลยทั้งสองกับพวกโยนลงบนพื้นดินกับกระดูกข้อแขนและข้อเท้าหลุด การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ กับพวกฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ในตอนแรกเมื่อเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา นั้น ได้ขาดตอนไปแล้ว และหลังจากนั้นอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง คือเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ กับพวกจึงได้กระทำความผิดขึ้นใหม่อีกฐานหนึ่ง ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์เป็นที่เข้าใจได้ว่า คือ ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยกระทำทารุณโหดร้ายเพราะโจทก์ได้ บรรยายฟ้องยืนยันว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เนื่องจากผู้ตายถูกจำเลยที่ ๑ กับพวกจับโยนลงบนพื้นดินในตอนหลัง เมื่อเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา หาใช่เกิดจากถูกจำเลยที่ ๑ ชกต่อยในตอนแรก เมื่อเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา ไม่ ดังนี้ จึงถือได้ว่า คดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดสองกรรมต่างกันคือ ฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายกระทงหนึ่ง และฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อนและโดยกระทำทารุณโหดร้ายอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าสืบจนสิ้นกระแสความและศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงแล้วได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกเป็นคนร้ายที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตายในตอนหลัง หลังจาก ย. พาผู้ตายไปส่งที่บ้าน ต. แล้ว คงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตายในตอนแรก (เมื่อเวลา ๑๙ นาฬิกาเศษ) เท่านั้น เท่ากับ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ มิได้ร่วมกับพวกจับตัวผู้ตายโยนลงบนพื้นดินทำให้สมองผู้ตายได้รับความกระทบกระเทือน อย่างรุนแรง อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาในความผิดกระทงหลัง และศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับความผิดกระทงหลังนี้แล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ความผิดกระทงหลังฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยกระทำทารุณโหดร้าย จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองนำเอาการตายของผู้ตายซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผล อันเกิดจากการกระทำความผิดกระทงหลังมารับฟังว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ กับพวกในความผิดกระทงแรก แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓ มานั้น ถือได้ว่าเป็นการพิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องสำหรับความผิดกระทงแรก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ต่อไปเพียงว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามฟ้องกระทงแรกหรือไม่เท่านั้น ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุเวลา ๑๙ นาฬิกาเศษ จำเลยที่ ๑ กับพวกได้รุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้มาว่า จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว ทำร้ายร่างกายผู้ตาย และตามทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่าง ในรายละเอียด ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็มิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๕ มาด้วย ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๒๙๕ ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสาม และวรรคท้าย ปัญหาข้ออื่นตามฎีกาจำเลยที่ ๑ ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๒ ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ ๑ ในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ ในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ แล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ .