คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ชนะคดีมา 2 ศาล จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา เมื่อจำเลยชนะคดีในชั้นฎีกา ศาลฎีกาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาในนามของจำเลย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านตามฟ้อง ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากบ้าน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2521 จำเลยได้ขายฝากที่ดินและบ้านตามฟ้องให้โจทก์เป็นเงิน 236,000 บาท กำหนดไถ่คืน 1 ปี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม2522 จำเลยกับพวกไปยังสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนงซึ่งเป็นสำนักงานที่ดินที่จดทะเบียนการขายฝากรายนี้ ในวันนั้นเวลา16.15 นาฬิกา จำเลยได้ยื่นหนังสือตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.3ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าพนักงานที่ดินได้บันทึกในหนังสือดังกล่าวหนังสือและบันทึกดังกล่าวมีใจความที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของจำเลย

ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2522 ซึ่งอยู่ในกำหนดเวลาการขายฝากจำเลยได้ไปที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนงเพื่อไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้องตามที่ได้นัดหมายกับโจทก์ทางโทรศัพท์ไว้ตั้งแต่วันที่ 8 และ 9 เดือนเดียวกัน แต่โจทก์ไม่ไปยังสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง ถือว่าจำเลยได้ใช้สิทธิไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้องภายในกำหนดเวลาการขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 492 แล้วนั้น

โจทก์มีแต่ตัวโจทก์คนเดียวมาเบิกความลอย ๆ ว่า โจทก์จำเลยมิได้นัดกันไปไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้องในวันที่ 10 ตุลาคม 2522นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2522 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้1 วัน โจทก์จดทะเบียนขายที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่นางสาวอรชรและในวันเดียวกันนั้นนางสาวอรชรจดทะเบียนขายฝากที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุผลอันสมควรว่าเหตุใดโจทก์กับนางสาวอรชรจึงกระทำเช่นนั้น ทำให้น่าเชื่อว่าโจทก์กระทำไปเพื่อไม่ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านตามฟ้องกลับคืนมาเป็นของจำเลยตามเดิมนั้นเอง ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าที่โจทก์ไม่ไปยังสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครเขตพระโขนง ในวันที่ 10 ตุลาคม 2522 หาได้เป็นเพราะโจทก์จำเลยมิได้นัดกันว่าจะไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้องในวันนั้นไม่แต่เป็นเพราะโจทก์ไม่ต้องการให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านตามฟ้องกลับคืนมาเป็นของจำเลย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกาเชื่อว่าในวันที่ 10 ตุลาคม 2522จำเลยพร้อมที่จะไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้อง แต่โจทก์หลีกเลี่ยงไม่ยอมให้จำเลยไถ่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับว่า ให้โจทก์ไปทำนิติกรรมและจดทะเบียนไถ่ที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่จำเลยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง ในราคา 236,000 บาท ภายใน 30 วันนับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งโดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาทแทนจำเลย เนื่องจากจำเลยฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา สำหรับค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ชำระต่อศาลในนามของจำเลย”

Share