แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดแกล้งจับผู้เสียหายอ้างว่า กระทำผิดฐานเมาสุราอาละวาดทั้งที่ไม่เป็นความจริง อันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และนำตัวผู้เสียหายออกจากบ้านไปไว้ที่แห่งหนึ่ง แล้วจึงปล่อยตัวผู้เสียหายไป อันเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพตามมาตรา 310ดังนี้ แม้การกระทำของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จำเลยที่ 1 จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วนางซ้ายและหัวเข่าซ้าย แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลต้องใช้เวลารักษาประมาณ 5 วัน ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามมาตรา 295
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านและกลั่นแกล้งจับกุมนายจำรัส คงพลาย ผู้เสียหาย อ้างว่ากระทำผิดฐานเมาสุราอาละวาดเนื่องจากจำเลยโกรธผู้เสียหายที่พูดว่า “ที่นี่ไม่มีไพ่ มีแต่วงเหล้า” อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเมื่อจับกุมแล้ว จำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังกายกระชาก ฉุด ล๊อคคอผู้เสียหายออกจากบ้านไปที่โรงเรียนปัญญาวรคุณซึ่งเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 157, 295,310, 364, 365(2), 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502มาตรา 13
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 310 ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจำคุกคนละ1 ปี ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นจำคุกคนละ 2 เดือน กับลงโทษจำเลยที่ 1ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 2 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 1 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 1 ปี 2 เดือน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดตามมาตรา 157 และ 310 นั้นเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท และโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุกคนละ 1 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงและได้รับบาดเจ็บที่นิ้วนางซ้ายและหัวเข่าซ้าย แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลของผู้เสียหายต้องใช้เวลารักษาประมาณ 5 วัน ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามมาตรา 295 ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 และความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพตามมาตรา 310 จะเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การกระทำผิดของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกันคือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์