แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์นำไปชำระมิฉะนั้นจะริบมัดจำตามสัญญา การที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญาแม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้ต่อพนักงานที่ดินเมื่อทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปก่อน แล้วมาขอรับค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวคืนจากจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของจำเลยในคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 10368/2528 ได้ และจ่ายเงินแล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจำเลยมีหมายให้นำไปชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันรับหมาย มิฉะนั้นจะริบเงินที่ชำระไว้แล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้วนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร จึงมีหนังสือแจ้งจำเลยขอหักภาษีเงินได้จำนวน 1,850,000 บาท ไว้จากเงินที่ต้องชำระให้จำเลย จำเลยให้โจทก์นำเงินส่วนที่เหลือไปชำระตามกำหนด ส่วนภาษีเงินได้หากจะต้องชำระ โจทก์ต้องร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีของจำเลยคืนให้ภายหลัง โจทก์จึงนำเงินค่าที่ดินที่เหลือไปชำระต่อมาจำเลยจึงคืนเงินค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้โจทก์ การที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายดังกล่าวไว้เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารในต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จนถึงวันที่จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 75,013.70 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ผู้ซื้อทรัพย์ต้องมีหน้าที่ชำระเงินให้ครบตามที่ประมูลได้เพื่อให้เป็นไปตามข้อสัญญาในประกาศขายทอดตลาด โจทก์จะขอหักภาษีเงินได้ไม่ได้ และโจทก์ได้รับเงินค่าภาษีดังกล่าวกลับคืนไปแล้ว จำเลยกระทำไปโดยชอบไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,850,000 บาทนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2527 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2527
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ และวางเงินมัดจำในวันซื้อจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือสัญญาจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันซื้อขาย มิฉะนั้น ยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีริบเงินมัดจำที่วางไว้ได้ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายให้โจทก์นำเงินส่วนที่เหลือไปชำระ โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอหักภาษีเงินได้ที่โจทก์ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรจากค่าที่ดินที่โจทก์ต้องชำระเพิ่มเติมให้จำเลย จำเลยยืนยันให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือให้ครบถ้วนตามสัญญามิฉะนั้นจะริบมัดจำ โจทก์จึงชำระค่าที่ดินที่เหลือทั้งหมดแก่จำเลย วันที่ 18 กรกฎาคม2527 โจทก์ไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตามที่โจทก์ประมูลได้ให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องนำเงินไปชำระภาษีเงินได้ 1,850,000 บาท แทนจำนวนเงินที่จำเลยไม่ยอมให้หัก หลังจากนั้นโจทก์ขอรับเงินจำนวนนั้นคืน ซึ่งจำเลยจ่ายคืนให้โจทก์แล้วในวันที่ 27 กันยายน 2527 แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เห็นว่าการที่โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมด 13,875,000 บาท ให้จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้จำนวน 1,850,000 บาท ไว้ ณ ที่จ่ายตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ก็เป็นเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระให้ครบ จำเลยจะริบมัดจำ ซึ่งตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ข้อ 3 ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิริบมัดจำในกรณีเช่นนี้ได้ส่วนจำเลยจะริบได้จริงหรือไม่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ดังนั้นการที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญาจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ เพราะแม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ตามสัญญา ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของละเมิด เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยอันเป็นค่าเสียหายให้โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.