แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผู้อุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่นำพยานซึ่งมีความหมายถึงพยานหลักฐานอันควรแก่เรื่องมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินตามคำสั่ง ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32แห่งประมวลรัษฎากรโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 30(2),33 แห่งประมวลรัษฎากร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่4 ที่ให้ชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มเป็นเงิน 380,173.74 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้หลายประการและว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินซึ่งสั่งตามมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากรให้โจทก์นำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับซื้อขายทรัพย์สินมีค่าของโจทก์มาแสดง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 33 แห่งประมวลรัษฎากรคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาตามฟ้อง แต่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้จากเงินได้สุทธิประจำพ.ศ.2516 ถึง 2518 จำนวน256,097.86 บาท 197,524.86 บาท และ 186,153.02 บาท เมื่อคำนวณแล้วจำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มต้องไม่น้อยกว่า53,156.82 บาท 28,333.45 บาท และ 24,573.90 บาท ตามลำดับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ในปีพ.ศ.2516 เฉพาะเงินได้สุทธิจำนวน 500,000 บาท ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 คิดเกินไปไม่หักออกให้โจทก์ นอกจากนี้ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินซึ่งสั่งตามมาตรา32 แห่งประมวลรัษฎากรให้โจทก์นำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการซื้อขายทรัพย์สินมีค่าของโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำอุทธรณ์ ซึ่งเป็นหลักฐานอันควรแก่เรื่องมาแสดง เมื่อโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่ง โจทก์ย่อมหมดสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 33 แห่งประมวลรัษฎากรได้ความตามคำเบิกความของนายวีระศักดิ์ เกตุพันธ์ นิติกร 6 กองอุทธรณ์กรมสรรพากรว่าเมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยขอให้ยกเลิกการประเมินและขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มซึ่งโจทก์อ้างว่าโจทก์มีลูกหนี้นำเงินมาชำระหนี้ในปีพ.ศ.2516จำนวน 4,000,000 บาท และโจทก์ได้ขายทรัพย์สินซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ไปในปีพ.ศ.2516 จำนวน 4,000,000 บาทเศษ และในปีพ.ศ.2518 เป็นเงิน 1,800,000 บาทเศษนั้น นายวีระศักดิ์ได้ตรวจสอบและเรียกโจทก์มาให้ถ้อยคำ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2525 โจทก์ไม่ยอมมาครั้งที่ 2 เมื่อเดือนสิงหาคม 2526 โจทก์มาแต่ขอผัดนำพยานมาให้ไต่สวนในเดือนกันยายน 2526 แต่เมื่อถึงกำหนดเดือนกันยายนตามนัด โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายประทีปแสงธรรมรัตน์มาให้การต่อนายวีระศักดิ์นายประทีปได้ให้การว่ายินดีจะนำพยานที่รับซื้อทรัพย์สินตามกล่าวอ้างมาให้เจ้าพนักงานไต่สวนในวันที่ 7 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไปหากไม่นำพยานมาให้ไต่สวนก็ขอให้เจ้าพนักงานพิจารณาดำเนินกระบวนพิจารณาไปเสมือนหนึ่งว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบประกอบคำอุทธรณ์ทุกประเด็นครั้นเมื่อถึงเดือนตุลาคมตามนัด โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานมาให้ถ้อยคำ นายวีระศักดิ์ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานสืบตามข้อกล่าวอ้างคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้องแล้ว คงผิดพลาดเพียงยอดเงิน 20,000 บาท ที่เจ้าพนักงานประเมินยกยอดค่าเพิ่มทรัพย์สินสุทธิของปีพ.ศ.2516คลาดเคลื่อน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงพิจารณาปรับปรุงให้ถูกต้องเป็นผลให้ภาษีลดลง และมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของดจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีพ.ศ.2517-2518ศาลฎีกาเห็นว่าได้ความดังกล่าวกรณีของโจทก์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่นำพยานซึ่งมีความหมายถึงพยานหลักฐานอันควรแก่เรื่องมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินตามคำสั่ง ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากรโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 30 (2), 33 แห่งประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยทั้งสี่ฎีกา และดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสี่ในข้ออื่นต่อไปอีก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์.