คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้องค์การโทรศัพท์โจทก์จะมีระเบียบในการแจ้งเตือนให้ผู้เช่าที่ค้างชำระค่าเช่าใช้บริการตั้งแต่ 30 วัน นำเงินมาชำระภายใน 15 วัน หากไม่ชำระตามกำหนดหนังสือแจ้งเตือนแล้วเสนอผู้จัดการเพื่องดให้บริการก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวเป็นระเบียบภายในเพื่อให้พนักงานของโจทก์ปฏิบัติ ไม่ใช่ข้อที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าที่ค้างแต่อย่างใด และการที่จำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ก็เป็นการชำระค่าเช่าโทรศัพท์ที่ค้างชำระ มิได้เกิดจากการที่โจทก์แจ้งเตือนหรืองดให้บริการ ประกอบกับในสัญญาเช่าระบุว่า กรณีที่ผู้เช่าสงสัยว่าจำนวนเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ไม่ถูกต้อง ผู้เช่ามีสิทธิยื่นคำร้องขอตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยผู้เช่าต้องชำระค่าบริการก่อน แต่จำเลยก็มิได้ทำการเช่นนั้น ฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญาการเช่าใช้บริการโทรศัพท์ เมื่อปรากฏว่ามีการใช้โทรศัพท์หมายเลขที่จำเลยเช่า จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์ ทั้งการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระมิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะนำพฤติการณ์ที่โจทก์งดให้บริการล่าช้ามาพิจารณาประกอบในการกำหนดค่าเสียหายของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าใช้บริการโทรศัพท์กับโจทก์ หมายเลข 5700473ต่อมาจำเลยค้างชำระค่าเช่าใช้บริการเป็นเงิน 99,699 บาท โจทก์หักเงินประกันการใช้โทรศัพท์ 3,000 บาท ออกแล้ว คงเหลือเงินที่จำเลยต้องชำระ 96,699 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 เป็นเงิน 9,669.90 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2540 คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 9,065.60 บาท รวมเป็นเงิน 115,434.50 บาท โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 115,434.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 96,699 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ค่าเช่าใช้บริการโทรศัพท์ที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินความจริงเนื่องจากไม่มีผู้พักอาศัย ณ บ้านที่ติดตั้งโทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวและโจทก์ไม่งดการให้บริการโทรศัพท์ตามระเบียบของโจทก์ กลับปล่อยปละละเลยให้มีการค้างชำระค่าเช่าใช้บริการซึ่งไม่ได้เกิดจากการใช้บริการของจำเลยถึง 9 เดือน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 56,669.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 47,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม 2542)ให้ไม่เกินจำนวน 9,065.60 บาท ตามที่โจทก์ขอ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 106,368.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 96,699 บาท นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม2542) ต้องไม่เกิน 9,064.60 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 จำเลยทำสัญญาเช่าใช้บริการโทรศัพท์หมายเลข 5700473 จากโจทก์ โดยวางเงินประกันการใช้โทรศัพท์ 3,000 บาท และตกลงชำระค่าเช่าใช้บริการแก่โจทก์เป็นรายเดือนตามเอกสารหมาย จ.5 หลังจากนั้นจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าใช้บริการ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญามีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าใช้บริการโทรศัพท์แก่โจทก์เพียงใด ซึ่งจำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ไม่งดให้บริการใช้โทรศัพท์ตามระเบียบของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 แต่กลับปล่อยปละละเลยให้มีการค้างค่าเช่าใช้บริการโทรศัพท์นานถึง 9 เดือน ถือว่าโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องเพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดแก่โจทก์ ทั้งหากโจทก์ปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัดนับแต่จำเลยค้างชำระค่าเช่าใช้บริการครั้งแรก ถึงเวลาอันควรสำหรับการงดให้บริการไม่ควรใช้เวลาเกินกว่า 2 เดือน จำเลยชอบที่จะต้องรับผิดชำระค่าเช่าที่ค้างเพียง 2 เดือน เป็นเงิน 2,871.50 บาท นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีระเบียบในการแจ้งเตือนให้ผู้เช่าที่ค้างชำระค่าเช่าใช้บริการตั้งแต่ 30 วัน นำเงินมาชำระภายใน 15 วัน หากผู้เช่าไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนดตามหนังสือแจ้งเตือนโจทก์ต้องรวบรวมรายงานเสนอผู้จัดการเพื่องดให้บริการตามเอกสารหมาย ล.1 ก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวเป็นระเบียบภายในของโจทก์เพื่อให้พนักงานของโจทก์ปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นข้อที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าใช้บริการที่ค้างได้แต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์ก็เป็นการชำระค่าเช่าใช้บริการโทรศัพท์ที่ค้างชำระ มิได้เกิดจากการที่โจทก์แจ้งเตือนหรืองดให้บริการการโทรศัพท์ล่าช้า ที่จำเลยอ้างว่า ในช่วงเวลาที่มีการค้างชำระค่าเช่า ไม่มีผู้ใดเช่าบ้านที่ติดตั้งโทรศัพท์หมายเลขดังกล่าว และจำเลยได้ถอดเครื่องโทรศัพท์และปิดบ้านใส่กุญแจไว้ เมื่อได้รับแจ้งให้ชำระค่าเช่า จำเลยได้ติดต่อโจทก์เพื่อแจ้งให้ทราบว่าค่าเช่าใช้บริการมีอัตราสูงผิดปกติแต่โจทก์ก็แจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระจำเลยจึงมิได้ชำระนั้น จำเลยก็เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ประกอบกับตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 ก็มีระบุไว้ในข้อ 2.5 ว่า กรณีผู้เช่าสงสัยว่าจำนวนเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ที่เรียกเก็บไม่ถูกต้อง ผู้เช่ามีสิทธิยื่นคำร้องเป็นหนังสือขอให้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องได้ ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าบริการตามวรรคแรกก่อนแต่จำเลยก็มิได้ดำเนินการเช่นนั้น ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญาการเช่าใช้บริการโทรศัพท์ และปรากฏว่ามีการใช้โทรศัพท์หมายเลขที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระแก่โจทก์ตามฟ้องและคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระมิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย กรณีไม่มีเหตุจะนำพฤติการณ์ที่โจทก์งดให้บริการล่าช้ามาพิจารณาประกอบในการกำหนดค่าเสียหายของโจทก์โดยกำหนดให้เพียง 50,000 บาท ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยชำระค่าเช่าใช้บริการโทรศัพท์ที่ค้างชำระตามที่มีการใช้จริงจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share