คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเกิดปากเสียงกับนายชิงชองแล้วถูกนายชิงชองชกต่อยเอา แต่จำเลยกลับนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า มีนักเลง 3 คนกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย โดยคนหนึ่งใช้ไม้ตีคนหนึ่งล๊อกคอ อีกคนหนึ่งล้วงเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป 300 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการแกล้งจะให้นายชิงชองต้องรับโทษหนักขึ้น และเป็นการกล่าวหาว่านายชิงชองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ประกอบด้วยมาตรา 181(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174, 181

จำเลยให้การปฏิเสธ

ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยไปทวงหนี้นางกุ้ยเองแล้วเกิดเถียงกัน นายชิงชองน้องผัวนางกุ้ยเองได้เข้ามาและเกิดปากเสียงกับจำเลยอีก นายชิงชองได้ใช้กำลังชกต่อยจำเลยจำเลยจึงไปแจ้งความกับร้อยตำรวจโทวินิจรองสารวัตรสถานีตำรวจบางรักว่าจำเลยนำบุหรี่ไปส่งที่ตรอกสองพระ มีนักเลง 3 คนมากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยโดยคนหนึ่งใช้ไม้ตีหลัง อีกคนหนึ่งล๊อกคอ อีกคนหนึ่งล้วงเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป 300 บาท จำเลยพาร้อยตำรวจโทวินิจไปยังที่เกิดเหตุร้อยตำรวจโทวินิจสอบถามแล้วได้ความว่าจำเลยมาทวงหนี้นางกุ้ยเองแล้วเกิดปากเสียงกับนายชิงชอง ๆ ได้ชกต่อยจำเลย ไม่มีเรื่องแย่งชิงนายชิงชองรับว่าชกต่อยจำเลยจริง จำเลยก็รับว่าจริง และเงินหายที่ไหนไม่ทราบ ทางตำรวจเปรียบเทียบปรับนายชิงชองเป็นเงิน50 บาท ส่วนจำเลยนั้นร้อยตำรวจโทวินิจเห็นเป็นเรื่องแจ้งความเท็จ ทำให้นายชิงชองและทางราชการตำรวจเสียหาย จึงสอบสวนดำเนินคดีนี้ขึ้นมา

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยกระทำผิดฐานแจ้งความเท็จ การแจ้งความมิได้เจาะจงตัวผู้กระทำผิด จำเลยจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 มาตราเดียว พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน และปรับ 200 บาท โทษจำยก

โจทก์อุทธรณ์ว่าเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 174 และ 181 และขอให้ลงโทษให้หนักขึ้น

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาเช่นเดียวกับที่อุทธรณ์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเอาความเท็จมาแจ้งต่อร้อยตำรวจโทวินิจซึ่งเป็นรองสารวัตรสืบสวนและสอบสวน แล้วนำร้อยตำรวจโทวินิจไปในที่เกิดเหตุเพื่อจับกุมคนที่มีเรื่องกับตน คือนายชิงชองร้อยตำรวจโทวินิจได้จับนายชิงชองไปเป็นผู้ต้องหาและความปรากฏว่าที่จำเลยแจ้งความกล่าวหาอันเป็นเรื่องปล้นทรัพย์นั้นเกินความจริงไปความจริงเป็นเรื่องจำเลยมีปากเสียงกับนายชิงชองและถูกนายชิงชองชกต่อยเอาเท่านั้นหาได้มีการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์กันไม่ การกระทำของจำเลยเห็นได้ว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยเป็นการแกล้งจะให้นายชิงชองต้องรับโทษหนักขึ้นนั่นเอง จำเลยจึงมีความผิดดังโจทก์ฎีกาขึ้นมา คำแจ้งความเท็จของจำเลยเป็นการกล่าวหาว่านายชิงชองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา 181(1) ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 174 ประกอบด้วยมาตรา 181(1) ให้จำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

Share