คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2439/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารเรียน กำหนดเวลาส่งมอบงานและชำระค่าจ้างเป็นงวดรวม 7 งวด จำเลยที่ 1 ดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานงวดที่ 1 ถึงที่ 4 ภายในกำหนดแก่โจทก์ โจทก์รับมอบงานและชำระค่าจ้างงวดที่ 1 ถึงที่ 3 ครบถ้วน ส่วนงวดที่ 4 โจทก์ชำระค่าจ้างไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงกัน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้บอกเลิกสัญญา หลังจากครบกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาแล้ว โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระในงวดที่ 4 ให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยอมรับค่าจ้างดังกล่าว จากนั้นจำเลยที่ 1 ก่อสร้างและส่งมอบงานงวดที่ 5 และที่ 6 โจทก์ก็ยอมรับมอบงานและชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วน แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิบัติต่อกันตามสัญญาจ้างต่อไป โดยมิได้ถือเอากำหนดเวลาส่งมอบงานและชำระค่าจ้างเป็นงวดเป็นสาระสำคัญ แต่จำเลยที่ 1 กลับดำเนินการก่อสร้างงานงวดที่ 7 ไม่แล้วเสร็จก็ละทิ้งงานทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
โจทก์และจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงกันว่า ในกรณีส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 5,946 บาท แต่เมื่อครบกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาจ้างแล้ว คู่กรณีโดยจำเลยที่ 1 ไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าจ้างเป็นงวดเป็นสาระสำคัญ โจทก์ก็ไม่ถือเอากำหนดเวลาส่งมอบงานเป็นสาระสำคัญ ดังนี้ วันที่มีการส่งมอบงานล่าช้าจึงไม่มีอีกต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 เป็นรายวัน คงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่เป็นค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในการทำงานนั้นต่อให้เสร็จเท่านั้น
ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเป็นการเรียกค่าเสียหายเพื่อทดแทนความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 หากโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนค่าเสียหายลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 223 เมื่อจำเลยที่ 1 ละทิ้งงานงวดที่ 7 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2538 โจทก์ควรรีบใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น แต่โจทก์กลับปล่อยปละละเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อเดือนกันยายน 2538 อันเป็นเวลาห่างกันเกือบ 4 เดือน จากนั้นโจทก์เพิ่งมาทำสัญญาจ้างบุคคลภายนอกให้ก่อสร้างงานต่อในส่วนที่เหลือเมื่อเดือนมีนาคม 2540 หลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แล้วถึง 1 ปี 5 เดือนเศษ โดยไม่ปรากฏเหตุผลแห่งความล่าช้า ดังนี้ ความล่าช้าที่เกิดขึ้นดังกล่าวย่อมทำให้ราคาค่าก่อสร้างสูงขึ้นและส่วนที่ก่อสร้างไปแล้วเกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้น เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์โดยใช่เหตุรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดค่าเสียหายลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 223

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกกรมสามัญศึกษาว่าโจทก์ เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ระโนดวิศวโยธา นางวาสนา เพ็งจันทร์ นายลบ เพ็งจันทร์ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่าจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๔ ตามลำดับ
สำนวนแรกจำเลยที่ ๑ ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ ก่อสร้างอาคารเรียน โจทก์ผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญากับเรียกให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ได้ทำงานไปแล้ว ๘๕๐,๐๐๐ บาท และขอคืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๔ แต่โจทก์เพิกเฉย ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหาย จำเลยที่ ๑ ขอคิดค่าเสียหายเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๐,๗๑๒.๓๓ บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินจำนวน ๗๒๐,๗๑๒.๓๓ บาท แก่จำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๗๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๔ แก่จำเลยที่ ๑
โจทก์ให้การว่า โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ ก่อสร้างอาคารเรียน โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ต่อมาโจทก์มีหนังสือไม่อนุมัติให้จำเลยที่ ๑ ขยายเวลาก่อสร้าง จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๔ ออกหนังสือค้ำประกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ทำงานงวดที่ ๗ ได้เพียงร้อยละ ๔๐ แล้วละทิ้งงาน โจทก์มีหนังสือไม่อนุมัติให้จำเลยที่ ๑ ขยายระยะเวลาก่อสร้างและมีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมกับแจ้งให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒,๕๑๒,๓๙๗.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดด้วยในวงเงินไม่เกิน ๒๙๗,๓๑๒.๔๕ บาท
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างตามฟ้องกับโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ มิได้ผิดสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากไม่ชำระค่าจ้างงวดที่ ๔ ให้จำเลยที่ ๑ ครบถ้วนตรงเวลาตามสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงบอกเลิกสัญญาและให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ทำไปแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ออกหนังสือค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ตามฟ้องจริง แต่จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ ๑ จำนวน ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๘) ไม่ให้เกิน ๒๐,๗๑๒.๓๓ บาท ให้โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๔ ให้แก่จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความสำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และสำหรับจำเลยที่ ๔ เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เฉพาะจำเลยที่ ๔ ให้ร่วมรับผิดไม่เกินจำนวน ๒๙๗,๓๑๒.๔๕ บาท ให้ยกฟ้องสำนวนคดีแรก ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนทั้งสองศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลในสำนวนหลังให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ ๘,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ทั้งสองสำนวนทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างและค่าเสียหายมีเพียงใด เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานงวดที่ ๑ ถึงที่ ๔ ภายในกำหนดให้แก่โจทก์ โจทก์รับมอบงานและชำระค่าจ้างงวดที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้แก่จำเลยที่ ๑ ครบถ้วน ส่วนงวดที่ ๔ โจทก์ชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ เพียง ๕๙,๓๕๐.๓๖ บาท คงค้างชำระ ๖๕๔,๑๙๙.๕๒ บาท โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา แต่จำเลยที่ ๑ ก็มิได้บอกเลิกสัญญา หลังจากครบกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาแล้ว โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระในงวดที่ ๔ ให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ยอมรับค่าจ้างดังกล่าว จากนั้นจำเลยที่ ๑ ดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานงวดที่ ๕ และที่ ๖ โจทก์ยอมรับมอบงานงวดที่ ๕ และที่ ๖ และชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ ครบถ้วน แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ยังคงปฏิบัติต่อกันตามสัญญาจ้างต่อไป โดยมิได้ถือเอากำหนดเวลาส่งมอบงานและชำระค่าจ้างเป็นงวดเป็นสาระสำคัญ และไม่จำต้องมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปอีกแต่อย่างใด เพราะหากจำเลยที่ ๑ ดำเนินการก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์ย่อมรับมอบงานและชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ ดังเช่นที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ เคยปฏิบัติมาแล้วในงวดที่ ๕ และที่ ๖ แต่จำเลยที่ ๑ กลับดำเนินการก่อสร้างงานงวดที่ ๗ ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายไม่แล้วเสร็จก็ละทิ้งงาน ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ส่วนปัญหาต่อไปเรื่องค่าเสียหายนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีสิทธิปรับจำเลยที่ ๑ เป็นรายวัน วันละ ๕,๙๔๖ บาท ในกรณีส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญาเอกสารหมาย จ. ๓ ข้อ ๑๕ ดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่หลังจากครบกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาจ้างแล้ว คู่กรณีโดยจำเลยที่ ๑ ไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าจ้างเป็นงวดเป็นสาระสำคัญ โจทก์ก็ไม่ถือเอากำหนดเวลาส่งมอบงานเป็นสาระสำคัญ ดังนี้วันที่มีการส่งมอบงานล่าช้าจึงไม่มีอีกต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธิปรับจำเลยที่ ๑ เป็นรายวัน คงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่เป็นค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในการทำงานนั้นต่อให้เสร็จตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ. ๓ ข้อ ๑๖ เท่านั้น ซึ่งค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นการเรียกค่าเสียหายเพื่อทดแทนความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ หากโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนค่าเสียหายลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๓ เมื่อจำเลยที่ ๑ ละทิ้งงานงวดที่ ๗ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ซึ่งโจทก์ควรรีบใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น แต่โจทก์กลับปล่อยปละละเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาฉบับลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๘ อันเป็นเวลาห่างกันเกือบ ๔ เดือน จากนั้นโจทก์เพิ่งมาทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดสินธนากรให้ก่อสร้างงานต่อในส่วนที่เหลือเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๐ หลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ แล้วเป็นเวลาถึง ๑ ปี ๕ เดือนเศษ โดยไม่ปรากฏเหตุผลแห่งความล่าช้า ดังนี้ ความล่าช้าที่เกิดขึ้นดังกล่าวย่อมทำให้ราคาค่าก่อสร้างงานสูงขึ้นและส่วนที่ก่อสร้างไปแล้วเกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลานานที่ผ่านมา เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์โดยใช่เหตุรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดค่าเสียหายลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ทั้งสองสำนวน และให้ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ทั้งสองศาล ทั้งสองสำนวนเป็นพับ โดยไม่แยกเป็นรายสำนวนนั้นไม่ถูกต้องเพราะสำนวนแรกจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มิได้เป็นคู่ความด้วย จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืนให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ของสำนวนแรกแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ของสำนวนหลังแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ในสำนวนหลังทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ให้เป็นพับ และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share