แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกร่วมกันมีจดหมายขู่ผู้เสียหายให้นำเงิน 1 ล้านบาทมอบให้จำเลยกับพวก มิฉะนั้นจะฆ่าผู้เสียหายกับบุตรและภริยาผู้เสียหาย ผู้เสียหายแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจทราบ และได้วางแผนจับกุมโดยให้ผู้เสียหายขับรถไปบริเวณที่จำเลยกับพวกนัดหมายไว้ เมื่อผู้เสียหายขับรถไปถึง พบจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มาติดต่อเพื่อขอรับเงิน จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ติดตามมาจับกุมได้หลังจากนั้นเกิดการยิงต่อสู้ระหว่างพวกจำเลยกับผู้เสียหายและเจ้าพนักงานตำรวจ เช่นนี้ แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องและเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกันกระทำยังไม่ขาดตอน โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันมาแต่ต้น ในข้อที่ว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมมอบเงินให้ก็จะฆ่าผู้เสียหายเสีย พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดการกระทำความผิดฐานฆ่าหรือพยายามฆ่าผู้อื่นขึ้นได้ถือได้ว่าเป็นความผิดที่อยู่ในขอบเขตที่จำเลยกับพวกตกลงร่วมกันจะกระทำมาแต่ต้น จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 จึงต้องรับโทษในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นด้วย
จำเลยที่ 3 ใช้รถจักรยานยนต์ขับขี่ติดตามรถยนต์ของผู้เสียหายเพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อรับเงินจากการกระทำความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ถือได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด จึงให้ริบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมมอบเงิน ๑ ล้านบาทแก่จำเลยกับพวก โดยขู่เข็ญว่าจะฆ่าผู้เสียหายรวมทั้งบุตรและภริยาของผู้เสียหายและจำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองไม่ได้ และจำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ ในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนที่มีและนำติดตัวมายิงโดยเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหาย แต่กระสุนปืนไม่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจ และถูกร่างกายของผู้ซึ่งช่วยเหลือเจ้าพนักงานตรงบริเวณที่ไม่ใช่อวัยวะสำคัญ บุคคลดังกล่าวจึงไม่ถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานยึดอาวุธปืนกับยึดรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า จำนวน ๑ คัน ได้จากจำเลยที่ ๓ เป็นของกลาง ของกลางดังกล่าวจำเลยกับพวกได้ใช้ในการกระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๐, ๘๓, ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๓๗, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ, ๕๕, ๗๘ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ข้อ ๓, ๖, ๗ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ เป็นความผิดต่างกรรมเรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๗, ๗๒ จำคุก ๒ ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา ๘ ทวิ, ๗๒ ทวิ จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๓ ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๓๓๗ และ ๘๐, ๒๘๘ เป็นความผิดต่างกรรม เรียงกระทงลงโทษฐานพยายามกรรโชกทรัพย์ จำคุกคนละ ๔ ปี ๘ เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุกคนละ ๓๓ ปี ๔ เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ คนละ ๓๘ ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ วรรคสอง (ประกอบมาตรา ๘๐) ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ เสีย และให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ กับพวกได้ร่วมกันพยายามกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหายในปัญหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฎีกาของโจทก์นั้น ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายขับรถมายังบริเวณที่พวกคนร้ายนัดหมายไว้ ได้พบคนร้ายคนแรกยืนคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ข้างถนนก่อน จำเลยที่ ๓ ถามผู้เสียหายว่ามาซื้อที่ดินใช่ไหม ผู้เสียหายตอบว่าใช่ ตามรหัสที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ ๓ ให้ผู้เสียหายขับรถต่อไป เมื่อไปได้อีกประมาณ ๒๐๐ เมตร ก็พบกับคนร้ายอีก ๒ คน และเมื่อผู้เสียหายขับรถต่อไปอีกประมาณ ๒๐๐ เมตร ได้พบคนร้ายอีก ๓ คน ตลอดระยะทางดังกล่าว สิบตำรวจเอกวินัย ภูมิชาติ ซึ่งนั่งคู่มากับผู้เสียหาย ได้รายงานทางวิทยุให้เจ้าพนักงานตำรวจที่ติดตามไปโดยรถยนต์อีก ๒ คันทราบ คือ พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชนั่งรถยนต์ตามไปห่าง ๆ เป็นคันที่สามต่อจากรถยนต์ของร้อยตำรวจโทสมชาย อ่วมถนอม ซึ่งแล่นเป็นคันที่สองถัดจากรถของผู้เสียหาย รถยนต์ทั้ง ๓ คัน ติดต่อสื่อสารโดยทางวิทยุถึงกันได้โดยตลอด พันตำรวจเอกสรรเพชญได้สั่งให้ผู้เสียหายขับรถเลยไป เมื่อผู้เสียหายขับรถเลยไปได้อีกประมาณ ๕๐ เมตร ก็ถูกคนร้ายระดมยิง ร้อยตำรวจโทสมชายเบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายขับรถเลยคนร้ายคนแรกไปแล้ว คนร้ายคนแรกได้ขับขี่จักรยานยนต์ตามรถผู้เสียหายไปต่อมาไปพบกับคนร้ายอีก ๒ คน พยานได้ขับรถติดตามคนร้ายทั้งสามนั้นไป และต่อมาได้จับตัวได้คือ จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๔ เมื่อจับกุมจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ได้แล้วจึงได้ยินเสียงปืนที่คนร้ายอีกกลุ่มหนึ่งยิงผู้เสียหายกับพวกศาลฎีกาเห็นว่า แม้คนร้ายอีกกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ได้แล้ว แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องและเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่คนร้ายร่วมกันกระทำยังไม่ขาดตอน ทั้งคนร้ายเห็นว่าไม่มีทางที่จะได้เงินจากผู้เสียหาย จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายดังกล่าว ปรากฏตามจดหมายของคนร้ายเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๓ ซึ่งมีถึงผู้เสียหายใจความว่า หากผู้เสียหายไม่นำเงินไปมอบให้หรือนำเรื่องไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ คนร้ายจะทำอันตรายแก่ชีวิต ซึ่งย่อมมีความหมายว่าคนร้ายทั้งหมดรวมทั้งจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ด้วย ต่างมีเจตนาร่วมกันมาแต่ต้นในข้อที่ว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมมอบเงินให้ พวกคนร้ายก็จะฆ่าผู้เสียหายเสีย จึงเป็นที่เห็นได้ว่าโดยพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นหรือพยายามฆ่าผู้อื่นขึ้นได้ ถือได้ว่าเป็นความผิดที่อยู่ในขอบเขตที่พวกคนร้ายตกลงร่วมกันจะกระทำมาแต่ต้นนั่นเอง ดังนั้น แม้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ จะมิได้เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก แต่ก็ต้องรับผิดในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่เกิดขึ้นนั้นด้วย และที่โจทก์ฎีกาว่ารถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งจำเลยที่ ๓ ขับขี่ในขณะเกิดเหตุเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิดจึงต้องริบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการที่จำเลยที่ ๓ ขับขี่รถจักรยานยนต์มายังที่เกิดเหตุ แล้วยังขับขี่ติดตามรถยนต์ของผู้เสียหายมาก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะติดต่อรับเงินจากผู้เสียหายในการกระทำความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดและเห็นสมควรให้ริบเสียด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น เมื่อคำนึกถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเห็นว่า กำหนดโทษหนักเกินไป จึงสมควรแก้ไขให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐ ลงโทษจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้จำคุกคนละ ๑๒ ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพยายากรรโชกทรัพย์ ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ คนละ ๑๖ ปี ๘ เดือน รถจักรยานยนต์ของกลางให้ริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.