คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9736/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อกรณีที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการ ชั่วคราวก่อนพิพากษาและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคดีประธานได้ถึงที่สุดโดยไม่มีการอุทธรณ์ ทั้งโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีได้ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) แล้วคำสั่งศาลที่ให้อายัดชั่วคราวซึ่งมีผลต่อไปเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมสิ้นผล หลังจากนั้นย่อมเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ผู้คัดค้านโดยไม่วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านต้องส่งเงินต่อศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวหรือไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามเช็คและค่าซื้อสินค้ารวมเป็นเงินจำนวน 1,911,381.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ พร้อมทั้งยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากบริษัทแอร์พอร์ทมินิอ๊อฟฟิศจำกัด ผู้คัดค้านไว้เป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีหมายอายัดชั่วคราวถึงผู้คัดค้าน อายัดสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของจำเลยอันมีต่อผู้คัดค้าน ซึ่งจะต้องชำระเงินจำนวน1,959,166.60 บาทแก่จำเลย โดยห้ามมิให้ผู้คัดค้านชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลย แต่ให้นำส่งมอบแก่ศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมิได้มีหนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องใด ๆ ที่ต้องชำระให้จำเลย กล่าวคือผู้คัดค้านได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโดยจำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างอาคาร สำนักงาน และจ้างเหมาทำการก่อสร้างพื้นและทางเข้าถนนที่จอดรถท่อระบายน้ำ ท่อพักและรั้วสันกำแพงแต่จำเลยไม่ได้ทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาผู้คัดค้านจึงบอกเลิกสัญญา โดยผู้คัดค้านได้ชำระค่าก่อสร้างตามงวดงานในสัญญาให้จำเลยแล้วไม่มีหนี้ค่าประกันผลงานที่จะต้องชำระให้จำเลย ขอให้เพิกถอนหมายอายัด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่ทราบว่ามีการบอกเลิกสัญญากันจริงหรือไม่ ผู้คัดค้านได้หักเงินจากจำเลยในแต่ละงวดของการชำระเงินค่ารับจ้างทำการก่อสร้างรวมยอดเงินที่ผู้คัดค้านหักได้เป็นเงินจำนวน 6,000,000 บาทเศษ ผู้คัดค้านยังมีเงินที่ค้างชำระแก่จำเลย และจะต้องนำส่งศาลตามหมายอายัดชั่วคราว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านส่งเงินที่หักไว้จากค่างวดงานก่อสร้างของจำเลยจำนวน 1,959,166.60 บาทตามหมายอายัดชั่วคราวต่อศาล ให้ยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านเสีย
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องของผู้คัดค้านและพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำเข้าสืบว่า ผู้คัดค้านได้ตกลงว่าจ้างให้จำเลยทำการก่อสร้างตามสัญญาและจำเลยได้ทำการก่อสร้างให้ผู้คัดค้านตามสัญญาแล้วเสร็จไปบางส่วนซึ่งผู้คัดค้านได้ชำระเงินค่าก่อสร้างให้จำเลยตามงวดงานในสัญญาไปแล้วโดยหักเงินไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ และ 5 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าประกันผลงานที่จำเลยจะต้องทำการก่อสร้างให้ผู้คัดค้านต่อไปจนงานแล้วเสร็จเรียบร้อยตามสัญญารวมเป็นเงินที่ผู้คัดค้านหักไว้จำนวน 6,000,000 บาทเศษ ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคดีประธานศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยโจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์และโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลยภายในกำหนด 15 วันนับตั้งแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ผู้คัดค้านโดยไม่วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านต้องส่งเงินต่อศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อกรณีที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคดีประธานได้ถึงที่สุดโดยไม่มีการอุทธรณ์ ทั้งโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะได้ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2)แล้ว คำสั่งศาลที่ให้อายัดชั่วคราวซึ่งมีผลต่อไปเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั่นย่อมสิ้นผล หลังจากนั้นย่อมเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี จึงไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าผู้คัดค้านมีหนี้หรือเงินอื่นใดที่ต้องชำระให้แก่จำเลยตามหมายอายัดชั่วคราวหรือไม่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share