แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ที่ 1 กับ ฟ. หย่ากันและทำบันทึกข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนหย่าว่ายกที่ดินพิพาทพร้อมบ้านให้แก่โจทก์ที่ 2 นั้น บันทึกดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.ซึ่งทั้งสองฝ่ายประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรสที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นต่อไปในภายหน้าให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามมาตรา 374 โจทก์ที่ 1 ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิเรียกให้ฟ. โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ได้ และโจทก์ที่ 2ก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้ ฟ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ตนได้โดยตรงเช่นกัน เมื่อ ฟ.ตายหน้าที่และความรับผิดที่ฟ. มีต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินพิพาทย่อมตกทอดมายังจำเลยในฐานะทายาทของ ฟ.จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังกล่าว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้แต่โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำสัญญา คดีของโจทก์ที่ 1 จึงขาดอายุความ ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้คัดค้านการขอรับมรดกที่ดินของจำเลยเมื่อปี 2530 และฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2531ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้คดีของโจทก์ที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความจำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรโจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่อง โตสุนทร โจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2519 โดยได้บันทึกไว้ในทะเบียนการหย่าว่าทั้งสองฝ่ายตกลงยกที่ดิน โฉนดเลขที่ 3360 โฉนดเลขที่ 3359 กับบ้านเลขที่ 214 ซึ่งปลูกบนที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2หลังจากหย่ากันแล้วจ่าสิบตำรวจเฟื่องได้จำเลยเป็นภริยา แต่อยู่กินด้วยกันได้ 4-5 ปี ก็หย่ากัน จ่าสิบตำรวจเฟื่องตายเมื่อวันที่ 3ธันวาคม 2530 ต่อมาวันที่ 24 เดือนเดียวกัน จำเลยไปขอรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 3360 โดยนำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า จ่าสิบตำรวจเฟื่องทำพินัยกรรม ยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้จำเลย พินัยกรรมที่จำเลยนำไปแสดงใช้บังคับไม่ได้เพราะลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมไม่ใช่ของจ่าสิบตำรวจเฟื่องและไม่ได้ทำขึ้นในขณะที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีสติสมบูรณ์ ทั้งจ่าสิบตำรวจเฟื่องไม่มีสิทธิที่จะทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3360 ให้แก่จำเลย ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของจ่าสิบตำรวจเฟื่องที่ทำเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2532เป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3360 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 3360 แก่โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยไปยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอโอนมรดกที่ดิน มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ที่ 1ไม่มีส่วนได้เสียในคดี โจทก์ที่ 2 ก็มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท และคดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องเป็นเพียงคำมั่นว่าจะให้ เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2523 ซึ่งจ่าสิบตำรวจเฟื่อง โตสุนทรได้ทำขึ้น ณ ที่ว่าการอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ส่วนคำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาและคู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังยุติได้ว่า โจทก์ที่ 1 กับจำเลยต่างเคยเป็นภริยาของจ่าสิบตำรวจเฟื่อง โตสุนทร โจทก์ที่ 1กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2502 และหย่ากันเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2519 จำเลยจดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบตำรวจเฟื่องเมื่อปี 2521 แล้วหย่าไปอยู่กินกับสามีใหม่ก่อนหน้าจ่าสิบตำรวจเฟื่องตายประมาณ 1 ปี ในการหย่าเมื่อวันที่ 29ธันวาคม 2519 โจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องได้ทำบันทึกตกลงกันในเรื่องสินสมรสไว้ในทะเบียนการหย่า ตามเอกสารหมาย จ.4 ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3359 และ 3360 ตำบลเกาะหวาย อำเภอปากพลีจังหวัดนครนายก พร้อมบ้านตึกสองชั้นสองคูหาเลขที่ 214 ทั้งสองฝ่ายยกให้แก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ที่ดินโฉนดเลขที่ 3359 มีชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของส่วนโฉนดเลขที่ 3360 มีชื่อจ่าสิบตำรวจเฟื่องเป็นเจ้าของ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ตามลำดับแต่โจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้โจทก์ที่ 2 จ่าสิบตำรวจเฟื่องตายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม2530 ต่อมาวันที่ 24 เดือนเดียวกันจำเลยนำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2523 ตามเอกสารหมาย จ.6ซึ่งระบุว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3360 ให้จำเลยไปแสดงและขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายก โจทก์ทั้งสองคัดค้านว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องไม่มีสิทธินำเอาที่ดินโฉนดดังกล่าวไปทำนิติกรรมยกให้จำเลย พินัยกรรมก็ใช้บังคับไม่ได้ เพราะไม่น่าเชื่อว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องจะทำพินัยกรรมด้วยการพิมพ์ลายนิ้วมือ ลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมไม่ใช่ของจ่าสิบตำรวจเฟื่องและพินัยกรรมไม่ได้กระทำขึ้นในขณะที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีสติสมบูรณ์ เจ้าพนักงานไกล่เกลี่ยแล้วไม่เป็นที่ตกลงกันโจทก์ทั้งสองจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนการหย่าตามเอกสารหมาย จ.4 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายและใช้บังคับได้หรือไม่ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองตามเอกสารหมาย จ.6 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่ และคดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า ข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์ที่ 1กับจ่าสิบตำรวจเฟื่อง โตสุนทร ตามเอกสารหมาย จ.4 ที่ตกลงยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3359 และ 3360 ตำบลเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก พร้อมบ้านตึกเลขที่ 214 ให้แก่โจทก์ที่ 2นั้น เป็นบันทึกข้อตกลงที่เกี่ยวกับสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1กับจ่าสิบตำรวจเฟื่อง และทั้งสองฝ่ายประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรสซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นต่อไปภายหน้าให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามมาตรา 374 โจทก์ที่ 1 ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิเรียกให้จ่าสิบตำรวจเฟื่องลูกหนี้ชำระหนี้ด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 2 ได้ ส่วนโจทก์ที่ 2 ในฐานะบุคคลภายนอกหากแสดงเจตนาแก่จ่าสิบตำรวจเฟื่องว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น โจทก์ที่ 2 ก็ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้จ่าสิบตำรวจเฟื่องชำระหนี้โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญานั้นให้แก่ตนได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ที่ดินโฉนดเลขที่ 3360ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องเมื่อหย่ากัน แต่ละฝ่ายย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวคนละครึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ได้แสดงเจตนาแก่จ่าสิบตำรวจเฟื่องว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 ในส่วนที่ดินพิพาทซึ่งจ่าสิบตำรวจเฟื่องมีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องจะตายกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งจึงยังเป็นของจ่าสิบตำรวจเฟื่องอยู่ จ่าสิบตำรวจเฟื่องย่อมแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับที่ดินนั้นในส่วนของตนเพื่อให้มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อตนตายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องทำไว้ว่า ถ้าจ่าสิบตำรวจเฟื่องตาย ขอยกที่ดินโฉนดเลขที่3360 ดังกล่าวให้แก่จำเลยมีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่โจทก์นำสืบว่า พินัยกรรมดังกล่าวมีข้อพิรุธเนื่องจากมีเพียงลายพิมพ์นิ้วมือของจ่าสิบตำรวจเฟื่อง ทั้งที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องรับราชการมา 30 ถึง 40 ปี สามารถลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆได้ รวมตลอดถึงลงลายมือชื่อรับเงินบำนาญ ตามสมุดหลักฐานการจ่ายเงินบำนาญเอกสารหมาย จ.7 เชื่อว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องทำพินัยกรรมในขณะมึนเมาสุราจนไม่รู้สติ ส่วนจำเลยมีนางสาวอริยา อริยกุลเชษฐ์ผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 ในขณะรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง งานทะเบียนราษฎร์ ที่ว่าการอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก มาเบิกความว่า จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีอาการมือสั่นเนื่องจากดื่มสุรามาก ไม่สามารถลงลายมือชื่อได้จึงขอใช้วิธีพิมพ์ลายนิ้วมือแทน แต่ขณะที่ทำพินัยกรรมจ่าสิบตำรวจเฟื่องไม่ได้มึนเมาสุราแต่อย่างใด ศาลฎีกาได้ตรวจดูพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองตามเอกสารหมาย จ.6 แล้ว ปรากฏว่านอกจากจะมีลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือขวาของจ่าสิบตำรวจเฟื่องและลายมือชื่อของพยาน 2 คน ลงไว้แล้ว ยังมีลายมือชื่อของพยานอีก2 คน รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของจ่าสิบตำรวจเฟื่อง และลายมือชื่อของนายอำเภอปากพลีถูกต้องครบถ้วนตามแบบพินัยกรรมของเอกสารฝ่ายเมือง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1658 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกด้วย ทั้งปรากฏข้อความระบุชัดในพินัยกรรมดังกล่าวว่าขณะทำพินัยกรรมนี้จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีสติสมบูรณ์ดี ที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องต้องลงลายพิมพ์นิ้วมือแทนการลงลายมือชื่อจึงเป็นไปได้ว่าขณะนั้นจ่าสิบตำรวจเฟื่องมือสั่นไม่อาจลงลายมือชื่อได้ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ไปกับจ่าสิบตำรวจเฟื่องในวันทำพินัยกรรม และพินัยกรรมดังกล่าวได้ทำที่ที่ว่าการอำเภอปากพลีต่อหน้านายอำเภอปากพลีกับพยานถึง 4 คน จึงมีเหตุผลและน้ำหนักให้เชื่อว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องได้ทำพินัยกรรมในขณะมีสติสมบูรณ์ดีและเป็นไปตามเจตนาอันแท้จริงของจ่าสิบตำรวจเฟื่อง พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองตามเอกสารหมาย จ.6 จึงสมบูรณ์และมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิได้รับที่ดินโฉนดเลขที่ 3360ตามส่วนที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีกรรมสิทธิ์อยู่ในฐานะเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมเมื่อจ่าสิบตำรวจเฟื่องตาย อย่างไรก็ตามกองมรดกของผู้ตายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 นอกจากจะได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายแล้วยังรวมถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ด้วย แม้จำเลยจะมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายก็ตาม แต่หน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นมรดกมีผลผูกพันให้จำเลยต้องรับผิดด้วย ดังนั้น หน้าที่ และความรับผิดที่จ่าสิบตำรวจเฟื่องมีต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามบันทึกข้อตกลงในทะเบียนการหย่าเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกจึงตกทอดมายังจำเลย และจำเลยย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังกล่าวด้วย การที่โจทก์ทั้งสองไปคัดค้านในขณะที่จำเลยนำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง เอกสารหมายจ.6 ไปแสดงและขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายกว่าจ่าสิบตำรวจเฟื่องไม่มีสิทธินำเอาที่ดินพิพาทไปทำพินัยกรรมยกให้จำเลยนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกนั้นแล้ว แต่ปรากฏว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจ่าสิบตำรวจเฟื่องตามเอกสารหมาย จ.4ได้ทำกันไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2519 อันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามสัญญาดังกล่าวได้ โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 จึงเกินกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 (เดิม) แล้วคดีของโจทก์ที่ 1จึงขาดอายุความ แต่คดีของโจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ไปคัดค้านการขอรับมรดกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2530และโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 (เดิม) คดีของโจทก์ที่ 2จึงยังไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอรับมรดกที่ดินครึ่งหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3360 ที่พิพาทและไม่มีสิทธิที่จะยึดถือโฉนดที่ดินเลขที่ 3360 ดังกล่าวไว้ต่อไป จำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 3360 ตำบลเกาะหวาย อำเภอปากพลี (เขาใหญ่) จังหวัดนครนายก แก่โจทก์ที่ 2 คำขออื่นให้ยก