แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ในลักษณะที่จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์อย่าง ลูกหนี้ร่วม แม้จะฟ้องรวมกันและเสีย ค่าขึ้นศาลรวมกันมาในคดีเดียวกันแต่คดีสำหรับจำเลยคนใดจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ต้องแยกพิจารณาจำนวน ทุนทรัพย์ตามที่จำเลยแต่ละคนพิพาทกับโจทก์เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามคดีของจำเลยแต่ละคนไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้รับการจัดสรรตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511ย่อมตกทอดเป็น มรดกไปยัง ทายาทของโจทก์ตามมาตรา12สิทธิในการ ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่พิพาทหาใช่เป็นเรื่อง เฉพาะตัวของโจทก์ไม่ อ.ซึ่งเป็น บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ย่อมเป็น ทายาทมีสิทธิเข้าเป็น คู่ความแทนที่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น สมาชิก นิคมสร้างตนเอง คำ สร้อย และได้รับ การ จัดสรร ที่ดิน จาก นิคมสร้างตนเอง คำ สร้อย จำนวน 1 แปลงคือ แปลง ที่ 446 เนื้อที่ 24 ไร่ ปรากฎ ตาม สำเนา น. ค.3 และสำเนา โฉนด ที่ดิน เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 1, 6, 7 เมื่อ ต้น ปี 2531จำเลย ทั้ง สาม และ บริวาร บุกรุก ที่ดิน ของ โจทก์ บางส่วน โดย เข้า ปลูก ข้าวอ้อย และ ต้นหม่อน จำเลย ที่ 1 บุกรุก เนื้อที่ ประมาณ 6 ไร่ จำเลย ที่ 2ประมาณ 10 ไร่ และ จำเลย ที่ 3 ประมาณ 2 ไร่ เศษ ปรากฎ ตาม พื้นที่สีแดง สี เหลือง และ สี น้ำ เงิน ตามลำดับ ตาม แผนที่ สังเขปเอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 8 ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวารออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ แปลง โฉนด ที่ดิน เลขที่ 388, 389 และ ให้ จำเลยทั้ง สาม ส่งมอบ ที่ดิน ดังกล่าว คืน โจทก์ ใน สภาพ เรียบร้อย ตาม สภาพ เดิมและ ให้ จำเลย ที่ 1 ชำระ ค่าเสียหาย ให้ แก่ โจทก์ ปี ละ 600 บาท จำเลย ที่ 2ชำระ ค่าเสียหาย ให้ แก่ โจทก์ ปี ละ 1,000 บาท จำเลย ที่ 3 ชำระ ค่าเสียหายให้ แก่ โจทก์ ปี ละ 200 บาท นับแต่ ปี 2532 เป็นต้น ไป จนกว่า จำเลยทั้ง สาม และ บริวาร จะ ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ และ ฟ้องแย้ง ว่า โจทก์ มิได้ เป็น สมาชิก นิคมสร้าง ตนเอง คำ สร้อย โจทก์ มิได้ เป็น เจ้าของ ผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาท เพราะ โจทก์ ไม่เคย เข้า ครอบครอง และ ทำประโยชน์ ในที่ดินพิพาท หนังสือ แสดง การ ทำประโยชน์ (น. ค.3) เป็น เอกสารปลอม หรือ เป็น เอกสาร ที่ โจทก์ ได้ สมคบ กับ เจ้าพนักงาน กระทำ ขึ้น โดยทุจริต และ มิชอบ ด้วย กฎหมาย เพราะ ออก มา ทับ ที่ดิน ที่ จำเลย ทั้ง สามครอบครอง และ ทำประโยชน์ อยู่ ฉะนั้น การ ออก โฉนด ที่ดิน ของ โจทก์จึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วน จำเลย ทั้ง สาม เป็น สมาชิก นิคมสร้างตนเองคำ สร้อย จึง มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท โดย สืบทอด มาจาก บรรพบุรุษจำเลย ทั้ง สาม ไม่เคย บุกรุก ที่ดิน ของ โจทก์ ขอให้ ยกฟ้อง โจทก์และ พิพากษา ว่า โจทก์ ไม่มี สิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท ให้ จำเลยทั้ง สาม มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท ห้าม โจทก์ เข้า เกี่ยวข้อง ใด ๆทั้งสิ้น ให้ เพิกถอน หนังสือ แสดง การ ทำประโยชน์ (น. ค.3) เลขที่ 2955และ ให้ เพิกถอน โฉนด ที่ดิน เลขที่ 388, 389
โจทก์ ให้การ แก้ฟ้อง แย้ง ว่า ที่ดินพิพาท ทั้ง สอง แปลง เป็นกรรมสิทธิ์ ของ โจทก์ จำเลย ไม่มี อำนาจ ขอให้ เพิกถอน หนังสือ แสดง การทำประโยชน์ (น. ค.3) เลขที่ 2955 และ โฉนด ที่ดิน เลขที่ 388 และ 389เพราะ เอกสาร ดังกล่าว เป็น เอกสาร ที่ ออก โดยชอบ ด้วย กฎหมายขอให้ ยกฟ้อง แย้ง ของ จำเลย ทั้ง สาม
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวาร ออก ไป จาก ที่ดินของ โจทก์ ตาม โฉนด ที่ดิน เลขที่ 388, 389 ตำบล กกแดง อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัด มุกดาหาร โดย ให้ จำเลย ทั้ง สาม ส่งมอบ ที่ดิน ดังกล่าว คืน โจทก์ใน สภาพ เรียบร้อย ตาม สภาพ เดิม ให้ จำเลย ที่ 1 ใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ปี ละ 600 บาท จำเลย ที่ 2 ปี ละ 1,000 บาท และ จำเลย ที่ 3 ปี ละ200 บาท นับแต่ ปี 2532 เป็นต้น ไป จนกว่า จำเลย ทั้ง สาม และ บริวารจะ ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ เสร็จสิ้น ฟ้องแย้ง ของ จำเลย ทั้ง สาม ให้ยก เสีย
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ระหว่าง พิจารณา ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 โจทก์ ถึงแก่ความตายนาง อวยพร เอี่ยมศิริแสงทองหรือ ณ นครพนม บุตร โดยชอบ ด้วย กฎหมาย ของ โจทก์ ร้องขอ เข้า เป็น คู่ความ แทน ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก อุทธรณ์ ของ จำเลย ทั้ง สาม
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา คำสั่ง และ คำพิพากษา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “มี ปัญหา ข้อ แรก ตาม ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สาม ว่าที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 วินิจฉัย ว่า อุทธรณ์ ของ จำเลย ทั้ง สาม เป็น อุทธรณ์ใน ข้อเท็จจริง ต้องห้าม อุทธรณ์ และ พิพากษายก อุทธรณ์ ของ จำเลย ทั้ง สามนั้น ชอบ ด้วย กฎหมาย หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า คดี นี้ โจทก์ ฟ้อง จำเลยทั้ง สาม ว่า จำเลย ที่ 1 บุกรุก ที่ดิน ของ โจทก์ ประมาณ 6 ไร่ จำเลย ที่ 2บุกรุก ที่ดิน ของ โจทก์ ประมาณ 10 ไร่ และ จำเลย ที่ 3 บุกรุก ที่ดินของ โจทก์ ประมาณ 2 ไร่ ให้ จำเลย ทั้ง สาม ออก ไป จาก ที่ดินของ โจทก์ ตาม ที่ จำเลย แต่ละ คน บุกรุก นั้น และ ให้ ชำระ ค่าเสียหาย แยกต่างหาก จาก กัน โจทก์ มิได้ ฟ้อง กล่าวหา ว่า จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน บุกรุกที่ดิน ของ โจทก์ ใน ลักษณะ ที จำเลย ทั้ง สาม รับผิด ต่อ โจทก์ อย่างลูกหนี้ ร่วม จำเลย แต่ละ คน ก็ ให้การ และ ฟ้องแย้ง สู้ คดี ต่อ โจทก์ตาม ส่วน ของ ที่ดิน ที่ จำเลย แต่ละ คน ครอบครอง ว่า จำเลย ทั้ง สามมีสิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาท ห้าม โจทก์ เกี่ยวข้อง ดังนั้น แม้ โจทก์จะ ฟ้อง จำเลย ทั้ง สาม รวมกัน มา ใน คดี เดียว กัน และ เสีย ค่าขึ้นศาล รวมกันมา ก็ ตาม คดี สำหรับ จำเลย คนใด จะ อุทธรณ์ ใน ข้อเท็จจริง ได้ หรือไม่ต้อง แยก พิจารณา จำนวน ทุนทรัพย์ ตาม ที่ จำเลย แต่ละ คน พิพาท กับ โจทก์มิใช่ คิด จำนวน ทุนทรัพย์ ของ จำเลย ทั้ง สาม รวมกัน ดัง ที่ จำเลย ทั้ง สาม ฎีกาเมื่อ ที่ดินพิพาท มี ราคา ไร่ ละ 3,000 บาท คดี ของ จำเลย แต่ละ คน จึง มีจำนวน ทุนทรัพย์ ที่พิพาท กัน ใน ชั้นอุทธรณ์ ไม่เกิน ห้า หมื่น บาท ซึ่ง เป็นคดี ที่ ห้าม มิให้ คู่ความ อุทธรณ์ ใน ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 14 อุทธรณ์ ของ จำเลย ทั้ง สาม ที่ ว่า โจทก์ ไม่ใช่ เจ้าของที่ดินพิพาท และ ไม่มี สิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาท โจทก์ ไม่มี คุณสมบัติที่ จะ ได้รับ การ จัดสรร ที่ดิน จำเลย ทั้ง สาม เป็น เจ้าของ ที่ดินพิพาทซึ่ง ล้วน เป็น อุทธรณ์ ใน ข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น ต้องห้าม อุทธรณ์ ตามบท กฎหมาย ดังกล่าว ดังนั้น ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษา ให้ยก อุทธรณ์ของ จำเลย ทั้ง สาม จึง ชอบแล้ว ฎีกา ข้อ นี้ ของ จำเลย ทั้ง สาม ฟังไม่ขึ้น
สำหรับ ปัญหา ตาม ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สาม ที่ ว่า คำสั่งศาล อุทธรณ์ ภาค 1ที่ สั่ง อนุญาต ให้ นาง อวยพร เอี่ยมศิริแสงทองหรือ ณ นครพนม ผู้ร้อง เข้า เป็น คู่ความ แทนที่ โจทก์ ผู้มรณะ เป็น คำสั่ง ที่ ไม่ชอบ นั้นเห็นว่า คดี นี้ โจทก์ ฟ้องขับไล่ จำเลย ทั้ง สาม ออกจาก ที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ ได้รับ การ จัดสรร ที่ดิน จาก นิคมสร้างตนเอง คำ สร้อย อันเป็น การได้ ที่ดินพิพาท ตาม พระราชบัญญัติ จัดสรร ที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 เมื่อ โจทก์ ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาท ย่อม ตกทอดเป็น มรดก ไป ยัง ทายาท ของ โจทก์ ได้ ตาม มาตรา 12 แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าว สิทธิ ใน การ ฟ้องคดี นี้ ของ โจทก์ จึง หาใช่ เป็น เรื่อง เฉพาะตัวของ โจทก์ แต่อย่างใด ไม่ หาก เป็น คดี ที่ ทายาท จะ รับมรดก ความของ โจทก์ ซึ่ง ถึงแก่ความตาย ได้ เมื่อ นาง อวยพร เอี่ยมศิริแสงทอง หรือ ณ นครพนม เป็น บุตร โดยชอบ ด้วย กฎหมาย ของ โจทก์ ย่อม เป็น ทายาท ของ โจทก์ ผู้มรณะ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 อนุญาต ให้ เข้า เป็น คู่ความ แทนที่ โจทก์ ผู้มรณะ จึง ชอบแล้ว ฎีกา ข้อ นี้ ของ จำเลย ทั้ง สาม ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ”
พิพากษายืน