คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4725/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลจะสั่งงดสืบพยานของคู่ความเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ ดุลพินิจแต่ละคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในสำนวนจากคำฟ้องและคำให้การพอวินิจฉัยได้แล้ว แม้จะสืบพยานต่อไปก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียได้ การบอกล้างโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา140 ย่อมทำได้ด้วยแสดงเจตนาต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่จำเลยไม่ได้เรียก ก.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม หากนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยกับ ก.จะเป็นโมฆียะกรรม คำให้การของจำเลยก็ไม่มีผลเป็นการบอกล้างนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยกับ ก. อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 เป็นกรณีฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 แต่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล จะนำมาตรา 240 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 13186 ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ แก่นายกฤษฎามั่งสุวรรณ แล้วไม่ไถ่คืน จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายกฤษฎา ต่อมานายกฤษฎาขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ เนื่องจากจำเลยมีเรือน 1 หลัง ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนเรือนเลขที่ 35 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท หากไม่รื้อให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า นายวิรัตน์ คล่องดี สมคบกับโจทก์หลอกลวงจำเลยว่านายวิรัตน์เป็นหนี้โจทก์ หากไม่ใช้หนี้จะถูกโจทก์ดำเนินคดีฐานฉ้อโกง ขอยืมโฉนดที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่นายกฤษฎา แล้วไม่ยอมไถ่คืน และสมคบกันซื้อที่ดินพิพาทจากนายกฤษฎาเป็นของโจทก์ นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายกฤษฎาเกิดจากการฉ้อฉลจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทมา 20 ปี ไม่เคยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์มิได้นำคดีมาฟ้องภายใน 1 ปี ตามมาตรา 240 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 35 ตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วจำเลยฎีกาในประการแรกว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเป็นการมิชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะเมื่อศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว จะต้องให้จำเลยนำสืบจนสิ้นกระแสความ จะสั่งงดสืบพยานไม่ได้นั้น เห็นว่าการที่ศาลจะสั่งงดสืบพยานของคู่ความหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจแต่ละคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยเฉพาะคดีนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนจากคำฟ้องและคำให้การพอวินิจฉัยได้แล้วแม้จะสืบพยานต่อไปก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียได้
จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า การบอกล้างนิติกรรมของจำเลยโดยยื่นคำให้การต่อสู้ว่านิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยและนายกฤษฎาเป็นกลฉ้อฉลอันเป็นการบอกล้างนิติกรรมที่ชอบแล้ว เพราะกฎหมายมิได้กำหนดแบบของการบอกล้างนิติกรรมไว้นั้น เห็นว่า การบอกล้างโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 140 ย่อมทำได้ด้วยแสดงเจตนาต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่คดีนี้จำเลยไม่ได้เรียกนายกฤษฎาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย ฉะนั้น หากนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยกับนายกฤษฎาจะเป็นโมฆียะกรรม คำให้การของจำเลยก็ไม่มีผลเป็นการบอกล้างนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยกับนายกฤษฎา นิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนายกฤษฎาจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยมิได้ไถ่คืนในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นายกฤษฎา นายกฤษฎาย่อมนำที่ดินพิพาทมาขายต่อให้โจทก์ได้โดยชอบฉะนั้น นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายกฤษฎาย่อมมีผลผูกพันคู่กรณีใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกาไม่
จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่า จำเลยไม่ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240เป็นกรณีฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบตาม มาตรา 237แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล จะนำมาตรา 240 มาปรับแก่คดีนี้หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.

Share