แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ปิดล้อมที่ดินของโจทก์ทั้งสิบจนไม่สามารถออกสู่ถนนสาธารณะได้ เมื่อเดิมที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6กับที่ดินของจำเลยทั้งสี่เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน เมื่อแบ่งแยกแล้วที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ไม่สามารถออกไปสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้ โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 7 ถึงที่ 10 มีที่ดินของจำเลยทั้งสี่ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้โจทก์ที่ 7 ถึงที่ 10จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้ และการที่ศาลสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันก็เพื่อความสะดวกในการพิจารณาเท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบในแต่ละสำนวนถูกที่ดินของจำเลยทั้งสี่ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสิบในแต่ละสำนวนตามความจำเป็นได้
ย่อยาว
คดีทั้งสิบสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งสิบสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความอย่างเดียวกันว่า เดิมที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับที่ดินของจำเลยทั้งสี่เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คือที่ดินโฉนดเลขที่ 6351 เลขที่ดิน 33 เนื้อที่33 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา ซึ่งนางบุญเหลือ มะโนรมย์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดินของโจทก์ที่ 7 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่6346 เลขที่ดิน 28 ซึ่งนางเปลว ชุมรักษา เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และที่ดินของโจทก์ที่ 8 ถึงที่ 10 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่6347 เลขที่ดิน 27 ซึ่งนางพุ่ม ภู่กัน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่อมาเมื่อประมาณปี 2501 คณะกรรมการกองสวัสดิการสงเคราะห์ได้รับความยินยอมจากนางบุญเหลือ นางเปลวและนางพุ่มให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 6351, 6346 และ 6347 ไปจัดสรรที่ดินเป็นแปลง ๆเพื่อแบ่งขายให้แก่ข้าราชการและบุคคลทั่วไป คณะกรรมการได้ทำถนนภายในที่ดินจัดสรรกว้างประมาณ 5 เมตร เพื่อให้ผู้ซื้อที่ดินใช้เป็นทางออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 7 ติดกับถนนภายในที่ดินจัดสรรสาย 1 ที่ดินของโจทก์ที่ 3 และที่ 8 ติดกับถนนสาย 2 ที่ดินของโจทก์ที่ 4 และที่ 9 ติดกับถนนสาย 3 ที่ดินของโจทก์ที่ 5 ที่ 6 และที่ 10 ติดกับถนนสาย 4 ขณะนั้นทางราชการวางแนวถนนพุทธมณฑลสาย 4 ไว้เป็นแนวกว้าง 120 เมตร โดยทางราชการจะทำถนนกว้าง 40 เมตร ส่วนที่เหลือจะใช้ปลูกสร้างอาคารสงเคราะห์ริมถนน 2 ข้าง ข้างละ 40 เมตร แต่คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินสร้างพุทธมณฑลเห็นว่าควรลดความกว้างของถนนพุทธมณฑลสาย 4 เหลือเพียง50 เมตร ที่ดินซึ่งกันไว้ส่วนที่เหลือให้คืนแก่เจ้าของเดิม ได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6351 รวม 7 ไร่เศษต่อมาเจ้าของที่ดินขายที่ดินจำนวน 7 ไร่เศษให้แก่จำเลยที่ 4 หลังจากนั้นจำเลยที่ 4 นำที่ดินแปลงนี้ไปแบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ต่อมาเมื่อประมาณปลายปี 2528 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นที่ดินของโจทก์ทั้งสิบในที่ดินจัดสรรของคณะกรรมการกองสวัสดิการสงเคราะห์ทั้งหมดยาวตลอดแนวของที่ดินตามแนวเส้นสีเหลืองในแผนที่สังเขป ทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสิบถูกปิดล้อมไม่สามารถออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ได้ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสิบได้รับความเสียหาย จำต้องขอให้เปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่ตลอดแนวไปสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 โดยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6ไม่ต้องเสียค่าทดแทนโจทก์ทั้งสิบได้ขอให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นแล้วจำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นกว้าง5 เมตร โดยตลอดทางจำเป็นจนกระทั่งออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตามแผนที่สังเขป โดยให้จำเลยทั้งสี่ไปจดทะเบียนภารจำยอมเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสิบต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมหากจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมไปจดทะเบียนภารจำยอมเปิดทางจำเป็นให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสิบสำนวนให้การเป็นใจความว่า เดิมที่ดินภายในบริเวณจุด ก ข ค ง ตามแผนที่สังเขปเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินจัดสรรของคณะกรรมการกองสวัสดิการสงเคราะห์ คณะกรรมการจัดสรรที่ดินได้จัดทำถนนสาธารณะกว้างประมาณ 8 เมตร อยู่ทางด้านทิศเหนือของแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง ตรงบริเวณแนวจุด ข ค ลึกจากถนนพุทธมณฑลสาย 4 เข้าไปในที่ดินจัดสรรไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตรรถยนต์แล่นผ่านเข้าออกได้สะดวก โจทก์ทั้งสิบซื้อที่ดินจากการจัดสรรย่อมมีสิทธิที่จะผ่านถนนดังกล่าวไปออกถนนพุทธมณฑลสาย 4 ได้อยู่แล้วดังนั้นที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงมิได้ไปปิดล้อมที่ดินของโจทก์ทั้งสิบแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสิบไม่มีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่ไม่ว่าจะเสียค่าทดแทนหรือไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เปิดทางจำเป็นแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 7 กว้าง 4 เมตร ตลอดทางจนกระทั่งออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตามลูกศรสีแดงภายในเส้นสีแดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โดยเริ่มจากจุดกากบาทสีแดงผ่านที่ดินจำเลยที่ 1โฉนดเลขที่ 6351 แปลงที่ 1 ผ่านรั้วคอนกรีตที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ร่วมกันสร้าง โดยให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันรื้อรั้วออกตามแนวเส้นคู่สีแดงผ่านรั้วดังกล่าว ผ่านที่ดินจำเลยที่ 3 โฉนดเลขที่52982 แปลงที่ 2 ผ่านที่ดินจำเลยที่ 2 โฉนดเลขที่ 52979 ถึง52981 แปลงที่ 3 ถึงที่ 5 ผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 52977ถึง 52978 แปลงที่ 6 และที่ 7 และผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่6351 แปลงสุดท้าย โดยให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จดทะเบียนภารจำยอมหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 เปิดทางจำเป็นกว้าง 4 เมตร ตลอดทางจำเป็นแก่โจทก์ที่ 3และที่ 8 จนกระทั่งออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตามลูกศร สีแดงภายในเส้นคู่สีแดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โดยเริ่มตรงจุดกากบาทสีแดงผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 6351 แปลงที่ 1 ผ่านรั้วคอนกรีตที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันสร้างโดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4ร่วมกันรื้อรั้วตามแนวเส้นคู่สีแดงที่ผ่านรั้วดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลยที่ 4 โฉนดเลขที่ 52948, 49114 แปลงที่ 2 และที่ 3ผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 6351 เป็นแปลงสุดท้าย โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไปจดทะเบียนภารจำยอมหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 เปิดทางจำเป็นกว้าง4 เมตร แก่โจทก์ที่ 4 และที่ 9 ตลอดทางจำเป็นจนกระทั่งออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตามลูกศรสีแดง ภายในเส้นคู่สีแดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โดยเริ่มตรงจุดกากบาทสีแดงผ่านที่ดินจำเลยที่ 1โฉนดเลขที่ 6351 แปลงที่ 1 ผ่านรั้วคอนกรีตที่จำเลยที่ 1 และที่ 4ร่วมกันสร้างโดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันรื้อรั้วออกตามแนวเส้นคู่สีแดงที่ผ่านรั้วคอนกรีตดังกล่าว ผ่านที่ดินจำเลยที่ 4โฉนดเลขที่ 49112 ผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 6351 แปลงที่ 1เป็นแปลงสุดท้าย โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 จดทะเบียนภารจำยอมเปิดทางจำเป็นหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 เปิดทางจำเป็นกว้าง 4 เมตรแก่โจทก์ที่ 5 ที่ 6และที่ 10 ตลอดทางจำเป็นจนกระทั่งออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตามลูกศรสีแดง ภายในเส้นคู่สีแดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โดยเริ่มตรงจุดกากบาทสีแดงผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 6351 ผ่านรั้วคอนกรีตที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันสร้างโดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4ร่วมกันรื้อรั้วออกตามแนวเส้นคู่สีแดงที่ผ่านรั้วดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลยที่ 4 โฉนดเลขที่ 45371 และผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่6351 เป็นแปลงสุดท้าย โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 จดทะเบียนภารจำยอม หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อแรกว่า ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ได้ปิดล้อมที่ดินของโจทก์ทั้งสิบจนไม่สามารถออกสู่ถนนสาธารณะหรือไม่ฝ่ายโจทก์ทั้งสืบนำสืบว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบอยู่ติดถนนสาธารณะกว้างประมาณ 5 เมตร ซึ่งถนนดังกล่าวคณะกรรมการจัดสรรได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นทางออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 การที่จำเลยทั้งสี่ก่อรั้วคอนกรีตด้านหลังอาคารพาณิชย์ตลอดแนว เป็นการปิดกั้นทำให้โจทก์ทั้งสิบไม่สามารถออกไปสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ฝ่ายจำเลยทั้งสี่นำสืบว่าโจทก์ทั้งสิบสามารถที่จะใช้เส้นทางออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ได้โดยไปตามถนนในเส้นสีแดงตามเอกสารหมาย ป.จ.1(ศาลจังหวัดแพร่) ไปทะลุผ่านในเส้นสีแดงหมายเลข 1 บริเวณจุด ค งซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลยทั้งสี่ ที่ดินของจำเลยทั้งสี่มิได้ปิดล้อมที่ดินของโจทก์ทั้งสิบแต่อย่างใด เกี่ยวกับเรื่องถนนสาธารณะในที่ดินจัดสรรและถนนในเส้นสีแดงหมายเลข 1บริเวณจุด ค ง ตามที่จำเลยทั้งสี่กล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสิบสามารถใช้เป็นทางออกสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ได้นั้น ศาลชั้นต้นออกไปเผชิญสืบที่พิพาทและได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพถนนสาธารณะในที่ดินจัดสรรไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2533ว่า บริเวณที่พิพาทมีถนนสาธารณะภายในที่ดินจัดสรร 4 สาย สายที่ 1ศาลไม่สามารถเดินเข้าไปดูได้เพราะที่ดินด้านหลังอาคารพาณิชย์มีสภาพเป็นป่าต้นอ้อ มีต้นมะขามเทศ ปลูกอยู่ โจทก์ทั้งสิบและจำเลยทั้งสี่รับว่าถนนสาธารณะภายในที่ดินจัดสรรทั้งสี่สายนั้นถนนสายที่ 2 เป็นถนนลูกรังที่ดีที่สุด ส่วนถนนอีก 3 สาย มีสภาพเป็นคันดินไม่เป็นถนนอีกแล้ว โดยเฉพาะถนนสายที่ 3 เมื่อดูแล้วเป็นแนวคันดินที่มีพงหญ้ากว้างประมาณ 5 เมตร ไม่มีสภาพเป็นถนนรถยนต์แล่นเข้าออกไม่ได้ สุดถนนด้านทิศใต้ไปทางที่ดินของโจทก์ที่ 7ไม่มีสภาพเป็นถนนแต่เป็นคันดินรถยนต์แล่นเข้าออกไม่ได้และไม่สามารถใช้รถยนต์ไปออกที่เส้นทางหมายเลข 1 ได้ เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสิบที่นำสืบฟังประกอบกับรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพบริเวณที่พิพาทแล้วเห็นว่า ถนนสาธารณะทั้งสี่สายภายในที่ดินจัดสรรซึ่งที่ดินของโจทก์ทั้งสิบตั้งอยู่นั้นไม่สามารถที่จะออกไปสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4ทางด้านทิศตะวันตกได้ เพราะติดอาคารพาณิชย์และรั้วคอนกรีตที่จำเลยทั้งสี่สร้างปิดล้อมไว้ และไม่สามารถไปทางทิศตะวันออกเลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางทิศเหนือเพื่อออกสู่เส้นทางหมายเลข 1 บริเวณจุด ค งได้เช่นกัน เพราะถนนสาธารณะภายในที่ดินจัดสรรแต่ละสายกลายเป็นคันดินมีพงหญ้าขึ้นไม่มีสภาพเป็นถนนอีกต่อไป พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสิบจึงมีน้ำหนักน่ารับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ได้ปิดล้อมที่ดินของโจทก์ทั้งสิบจนไม่สามารถออกสู่ถนนสาธารณะได้ เนื่องจากเดิมที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับที่ดินของจำเลยทั้งสี่เป็นที่ดินแปลงเดียวกันเมื่อแบ่งแยกแล้วที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 7ถึงที่ 10 มีที่ดินของจำเลยทั้งสี่ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ที่ 7 ถึงที่ 10 มีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็น ได้ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปตามที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ในข้อที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นถึง 4 สาย ทำให้จำเลยทั้งสี่ได้รับความเสียหาย ควรให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นเพียงสายเดียวคือทางสายที่ 2 โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่ากรณีนี้เป็นการรวมพิจารณาคดีซึ่งโจทก์ทั้งสิบต่างใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสี่มารวม 10 สำนวน และจำเลยทั้งสี่ในแต่ละสำนวนได้ให้การปฏิเสธแล้วว่าโจทก์ทั้งสิบมีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ ที่โจทก์ทั้งสิบขอมานั้นไม่ใช่ทางจำเป็น เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าควรให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นเพียงสายเดียวคือสายที่ 2 นั้นเห็นว่า โจทก์ทั้งสิบต่างใช้สิทธิฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นในแต่ละสำนวน มิได้ขอรวมกันมา ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันก็เพื่อความสะดวกในการพิจารณาเท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบในแต่ละสำนวนถูกที่ดินของจำเลยทั้งสี่ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสิบในแต่ละสำนวนตามความจำเป็นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางจำเป็น 4 สาย ให้แก่โจทก์ทั้งสิบนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนภารจำยอมเปิดทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 6351, 52982, 52979,52980, 52981, 52977,52978, 52948, 49114, 49112 และ 45371หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น เห็นว่าเมื่อฟังว่าที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับจำเลยทั้งสี่เป็นที่ดินแปลงเดียวกันเมื่อแบ่งแยกแล้วที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงใช้สิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 7 ถึงที่ 10 ถูกที่ดินของจำเลยทั้งสี่ปิดล้อมจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ที่ 7 ถึงที่ 10 มีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นได้ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนอีก คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสี่ไปจดทะเบียนภารจำยอมเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสิบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์