คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5589/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ และประกอบกิจการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าของโจทก์ พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ก็ตามแต่สำหรับวัตถุประสงค์ในการให้บริการออกบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์นั้น สมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการที่ซื้อจากร้านค้าหรือสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสดโดยโจทก์จะออกเงินทดรองชำระแก่เจ้าหนี้ค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังอันเป็นลักษณะการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและบริการ ส่วนการให้สมาชิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตดังกล่าวก็มีลักษณะให้เป็นบริการส่วนหนึ่งประกอบการให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกของโจทก์และโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกถอนเงินสดล่วงหน้า แล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) จำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2536อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาโจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2539 พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2535 จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต กรุงศรี-วีซ่า กับโจทก์ ซึ่งจำเลยสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้ถอนเงินสดล่วงหน้า หรือนำไปใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการแก่ร้านค้าที่มีข้อตกลงกับโจทก์แทนการชำระด้วยเงินสด โดยโจทก์จะออกเงินสำรองทดแทนค่าสินค้าหรือค่าบริการแก่เจ้าของร้านค้าดังกล่าวก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2536 ถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2536จำเลยได้นำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้า ใช้บริการและถอนเงินสด ยอดหนี้ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 เป็นเงิน 36,299.35 บาทค่าปรับ 2,324.58 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 65.08 บาท ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2536 จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ 6,000 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 52,461.58 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 32,957.53 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2536 จำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วน และนับแต่นั้นเป็นต้นมาจำเลยไม่เคยติดต่อหรือเคยชำระหนี้แก่โจทก์อีกเลย สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2536 นับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐาน จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า แม้โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ และประกอบกิจการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าของโจทก์ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505ก็ตาม แต่สำหรับวัตถุประสงค์ในการให้บริการออกบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์นั้น สมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการที่ซื้อจากร้านค้าหรือสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสดโดยโจทก์จะออกเงินทดรองชำระแก่เจ้าหนี้ค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง อันเป็นลักษณะการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและบริการ ส่วนการให้สมาชิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตดังกล่าวก็มีลักษณะให้เป็นบริการส่วนหนึ่งประกอบการให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกของโจทก์ และโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34 (7) จำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2536 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้น โจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 พ้นกำหนด 2 ปี แล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความเทียบเคียงได้กับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5738/2539 ระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โจทก์นายอดิศักดิ์ ประกิจวรพงษ์ จำเลย
พิพากษายืน

Share