คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7182-7183/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวางเงินเพื่อประกันความเสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง (1) มิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นต้องทำการไต่สวนคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสมอไป เพียงแต่มีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องขอนั้นไม่มีมูลโดยศาลอาจตรวจดูจากเอกสารในสำนวนรวมทั้งตัวคำร้องขอเอง ก็เพียงพอแล้วที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกันโดยพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยที่ตกลงกันว่าจำเลยยอมชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 11,310,748.09 บาทพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5293, 18250 และ 15790 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 322/56 และ 814/216 ของจำเลย รวมราคา 13,320,500 บาท เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาบังคับคดีทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาบังคับคดีทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและปรากฏหลักฐานตามโฉนดที่ดินว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ดังกล่าวผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์รายนี้มาก่อนแล้วและศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์จำนวน 13,320,500 บาท แต่ผู้ร้องไม่เสียค่าขึ้นศาลและยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ครั้งก่อนไป ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์เข้ามาใหม่เป็นคดีนี้โดยไม่มีหลักฐานและไม่มีมูลเพื่อประวิงการบังคับคดีให้ชักช้าและเสียหายแก่โจทก์ขอให้ยกคำร้องขอ และโจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2539 ว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์เข้ามาเพื่อเป็นการประวิงคดีทำให้การบังคับคดีล่าช้า ขอให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามราคาทรัพย์ที่ยึด

ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า ตามพยานหลักฐานในสำนวนผู้ร้องเคยยื่นคำร้องเข้ามาแล้วเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2538 แต่ผู้ร้องไม่ชำระเงินค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลและถอนคำร้องไป ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาใหม่อีกโดยมีข้อความและเหตุผลเช่นเดียวกับคำร้องเดิมเป็นการยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อประวิงคดี จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำเงินจำนวน 1,000,000 บาท มาวางศาลภายในวันสืบพยานผู้ร้อง มิฉะนั้นให้จำหน่ายคดีผู้ร้องออกจากสารบบความ

ต่อมาในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องไม่วางเงินตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความและคืนค่าขึ้นศาลให้แก่ผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกามีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน 1,000,000 บาท ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง (1) หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่าในการที่จะมีคำสั่งดังกล่าวศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานเบื้องต้นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีประกอบกันทั้งสองรายการจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินเป็นหลักประกันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยหรือไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้องเลยว่า มีมูลหรือไม่ จึงไม่ชอบ เห็นว่าตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นต้องทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเสมอไปเพียงแต่มีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องขอนั้นไม่มีมูลก็เพียงพอแล้ว พยานหลักฐานเบื้องต้นนี้ศาลอาจตรวจดูจากเอกสารในสำนวนรวมทั้งตัวคำร้องขอเองก็ได้คดีนี้ปรากฏตามรายการยึดที่ดินท้ายรายงานการยึดทรัพย์ครั้งที่ 1 ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2537 ว่า ที่ดินที่ถูกยึดมาบังคับคดีมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดและตามสารบัญจดทะเบียนจำเลยได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2532 ล้วนแต่เป็นหลักฐานที่แสดงว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นของจำเลย ผู้ร้องอ้างตามคำร้องขอว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นของผู้ร้อง แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของบิดา นำเอาที่ดินซึ่งตกลงแบ่งมรดกกันว่าเป็นของผู้ร้องไปโอนใส่ชื่อของจำเลยและนำเอาไปจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ ผู้ร้องมาทราบเรื่องเมื่อมีการปิดประกาศยึดทรัพย์ปี 2538 เป็นเวลานานถึง 5 ปีเศษ เป็นการผิดวิสัยปกติสามัญชนทั่วไป เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ พยานหลักฐานเบื้องต้นดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคำร้องขอของผู้ร้องไม่มีมูลคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันตามคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว คดีไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเสียก่อน

พิพากษายืน

Share