คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องที่ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้บังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนอำเภอเมืองสงขลา ใจความสำคัญว่า เมื่อวันที่๕ มิถุนายน ๒๕๑๕ เด็กหญิงเอวา สุระกำแหง อายุ ๘ ปี บุตรของผู้แจ้งได้ถูกเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชื่ออยู่ในโรงเรียนจุลละสมัยเดียวกันข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งต่อมาวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เด็กหญิงเอวาสุระกำแหง ได้ชี้ตัวเด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ บุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนจุลละสมัย ในเวลากลางวันข้อความที่จำเลยที่ ๑ นำไปแจ้งดังกล่าวนั้น เป็นความเท็จเพราะตามวันเวลาดังกล่าวนั้น เด็กหญิงเอวา สุระกำแหง ไม่ได้ไปโรงเรียนจึงไม่มีทางที่จะเกิดการข่มขืนกระทำชำเราขึ้นในโรงเรียนจุลละสมัยได้และต่อมาจำเลยทั้งสองได้บังอาจสาบานตัวเข้าเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๑๓/๒๕๑๕ ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา โจทก์เด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ จำเลย เรื่องข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความว่า”เมื่อวันที่ ๕ ประมาณ๓-๔ เดือนมานี้ ข้าพเจ้าพาผู้เสียหายไปโรงเรียน แต่เด็กไม่ยอมเข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าไม่ยอม จึงให้ครูช่วยเอาตัวไป หลังจากนั้นผู้เสียหายไม่ยอมไปโรงเรียนอีก ต่อมาข้าพเจ้าเห็นอวัยวะเพศของผู้เสียหายบวมแดงและมีน้ำใส ๆ ออกมา จึงได้พาผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจดูแพทย์บอกว่าถูกข่มขืน ผู้เสียหายว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันทำข้าพเจ้าจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสงขลาจังหวัดสงขลา” และจำเลยที่ ๒ เบิกความว่า “เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๑๕ระหว่างต้นเดือนกับกลางเดือนผู้เสียหายไม่ไปโรงเรียน ต้องบังคับกันจึงยอมไป วันนั้นกลับจากโรงเรียนแล้วผู้เสียหายไม่สบาย ข้าพเจ้าเห็นอวัยวะเพศของผู้เสียหายบวมแดงและมีน้ำใส ๆ ไหลออกมา จึงพาไปให้แพทย์ตรวจ เมื่อกลับมาแพทย์บอกว่าถูกข่มขืน ต่อมาข้าพเจ้าสอบถามผู้เสียหาย ผู้เสียหายว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืน ข้าพเจ้าจึงแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีปราโมทย์พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจตรีปราโมทย์พนักงานสอบสวนได้นำผู้เสียหายไปชี้ตัวที่โรงเรียนจุลละสมัยผู้เสียหายชี้ตัวเด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย” ข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความมาข้างต้นนั้นเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะตามวันเวลาที่กล่าวหาว่าบุตรของโจทก์ข่มขืนกระทำชำเราเด็กเอรา สุระกำแหง นั้นเด็กหญิงเอวา สุระกำแหง ไม่ได้ไปโรงเรียนจึงไม่มีทางที่เด็กหญิงเอวาสุระกำแหง จะถูกบุตรโจทก์ข่มขืนกระทำชำเราได้ การที่จำเลยไปแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนก็ดีและเบิกความเท็จต่อศาลก็ดี เพื่อประสงค์จะแกล้งให้บุตรโจทก์ได้รับโทษหรือโทษหนักทางอาญา การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้เด็กชายศุภโยคหรือเกียรติ พูลศิริ ถูกพนักงานตำรวจจับกุมคุมขังเป็นเวลาหลายวัน ต่อมาได้ถูกฟ้องต่อศาลตามคดีดังกล่าว และศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔,๑๗๗ และ ๓๑๐
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จนั้น โจทก์มิได้กล่าวยืนยันในคำฟ้องว่าความจริงเด็กหญิงเอวา สุระกำแหง มิได้ถูกข่มขืนกระทำชำเราอันจะถือได้ว่าเป็นความเท็จและข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความต่อศาล ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญแห่งคดี อีกทั้งไม่ปรากฏว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าเป็นความเท็จนั้น จำเลยทั้งสองได้รู้อยู่แล้วหรือไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ด้วย ส่วนความผิดต่อเสรีภาพนั้น เห็นว่า การจับกุมคุมขังเป็นหน้าที่และอยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยทั้งสองยังไม่มีความผิดฐานนี้ กรณียังถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ เพราะขาดองค์ประกอบอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓และ ๑๗๔ ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น คำฟ้องโจทก์ไม่ประกอบเป็นองค์ความผิดฐานนี้ได้ สำหรับความผิดต่อเสรีภาพ ฟ้องของโจทก์ไม่เข้าลักษณะที่จะเป็นความผิดเช่นเดียวกัน พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหาฐานแจ้งความอันเป็นเท็จนั้นตามคำบรรยายฟ้องคงสรุปใจความได้เพียงว่า จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งข้อความต่อพนักงานสอบสวนว่าเด็กหญิงเอวาถูกเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชื่อ ซึ่งอยู่ในโรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเรา ต่อมาเด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนนั้นแสดงว่าจำเลยที่ ๑ แจ้งตามคำบอกเล่าของเด็กหญิงเอวาว่าเด็กหญิงเอวาถูกนักเรียนชายข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น โดยจำเลยที่ ๑ก็มิได้กล่าวยืนยันว่าผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้นคือบุตรโจทก์ ส่วนข้อที่เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนนั้นก็เป็นการเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชี้ตัวเท่านั้น จำเลยที่ ๑ มิได้กล่าวยืนยันเองว่าบุตรโจทก์เป็นเด็กนักเรียนชายผู้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงเอวา ซึ่งโจทก์ก็มิได้อ้างว่า เด็กหญิงเอวาไม่ได้เล่าแก่จำเลยที่ ๑ เช่นนั้น หรือมิได้ชี้ตัวบุตรโจทก์ ไม่อาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔ ได้
สำหรับข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้น ตามคำบรรยายฟ้องคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ สรุปใจความได้เพียงว่า เมื่อเด็กหญิงเอวาว่า เด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราจำเลยที่ ๑ ก็ไปแจ้งความจำเลยที่ ๑ ก็มิได้เบิกความยืนยันว่าเด็กนักเรียนชายนั้นคือบุตรโจทก์ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ก็กล่าวตามคำบอกเล่าของเด็กหญิงเอวาว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืน แล้วเล่าถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราซึ่งข้อที่ว่าเด็กหญิงเอวาบอกเล่าแก่จำเลยแต่ละคน ดังนั้นจริงหรือไม่ เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์จริงหรือไม่ ไม่ใช่เหตุการณ์ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าเป็นความเท็จ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา ๑๗๗ ได้เช่นกัน
ส่วนความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐ นั้น เห็นว่า ที่เด็กชายศุภโยคถูกจับกุมคุมขังนั้น เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งได้กระทำไปตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายหาใช่เป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ ๑ แจ้งข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นเท็จไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามบทมาตรา ๓๑๐
พิพากษายืน

Share