แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพนักงานขับรถของมูลนิธิปอเต็กตึ้งได้ขับรถยนต์ไปที่เกิดเหตุรถชนกัน มีผู้นำถุงบรรจุอาวุธปืนมามอบให้แจ้งว่าเป็นของผู้ได้รับบาดเจ็บจำเลยได้ติดตามหาเจ้าของเพื่อมอบอาวุธปืนคืนเมื่อไม่พบก็ตั้งใจจะมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจ แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับเสียก่อน ดังนี้จำเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาไปในทางสาธารณะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 92, 371 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ ให้ลงโทษบทหนักตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปีรวมจำคุก 3 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ส่วนของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยรับฟังได้ว่า เมื่อจำเลยได้รับมอบถุงอาวุธปืนจากชายผู้อ้างว่า เป็นคนขับรถแท๊กซี่แล้ว จำเลยได้ติดตามหาตัวเจ้าของเพื่อมอบอาวุธปืนคืน เมื่อไม่พบเจ้าของก็ตั้งใจจะมอบแก่เจ้าพนักงานตำรวจตามคำสั่งของนายพิชัย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน พฤติการณ์แห่งคดีไม่แสดงว่าจำเลยมีเจตนามีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพกพาไปในทางสาธารณะ พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน