แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อให้โจทก์นำไปเปลี่ยนเช็คเดิมจากเจ้าหนี้ด้วยเจตนาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำลวงของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่ได้มีการชำระเงินตามเช็คเดิมแล้ว เช็คพิพาทย่อมไม่มีมูลหนี้ โจทก์จึงเป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จะถือว่าโจทก์ซึ่งใช้อุบายให้จำเลยออกเช็คพิพาทเป็นผู้ทรงโดยชอบหรือเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทมาจากเจ้าหนี้หาได้ไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 80,000 บาทดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดตั้งแต่วันลงในเช็คถึงวันฟ้อง เป็นค่าดอกเบี้ย 2,250 บาท และขอดอกเบี้ยอัตราเดียวกันคิดตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์ จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 82,250 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน80,000 บาท คิดตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2529 ถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นว่า เช็คพิพาทมีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบได้ความว่า โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยามาเป็นเวลานานเกือบ 10 ปีในระหว่างที่เกิดเหตุมีหนี้สินก็ยังอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา โจทก์ว่าจำเลยจะพิมพ์หนังสือจำหน่ายให้โจทก์ช่วยหาเงินทำทุนโจทก์ก็ช่วยหาแม้แต่เวลาไปติดต่อกับร้านจำหน่ายหนังสือโจทก์ก็ไปด้วยนอกจากนั้นยังปรากฏว่าจำเลยอยากเอาเงินไปลงทุนเล่นแชร์นางชม้อยเพื่อให้ได้เงินผลประโยชน์ตอบแทนด้วย โจทก์อ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องไม่ทราบเรื่องนี้แต่ก็ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์เองอีกว่าตอนหลังจำเลยต้องการเงินไปซื้อรถยนต์ โจทก์ก็ได้ติดต่อหาให้โดยไปขอให้นายสันติชัย สุเอกานนท์ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด สาขาสยามสแควร์ ช่วยหาให้เห็นได้ว่าแม้แต่เรื่องจะซื้อรถยนต์ โจทก์ยังเกี่ยวข้องอ้างว่าช่วยหาเงินให้จำเลย จึงน่าเชื่อว่าเรื่องหาผลประโยชน์เกี่ยวกับการจำหน่ายหนังสือก็ดี การลงทุนเล่นแชร์กับนางชม้อยก็ดี มีน้ำหนักเหตุผลน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์และจำเลยร่วมดำเนินการด้วยกันเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ด้วยกันนั่นเอง ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์มอบเงินค่าจำหน่ายหนังสือได้ให้แก่จำเลยไปทั้งหมด และไม่ทราบเรื่องการลงทุนเล่นแชร์กับนางชม้อยนั้นไม่มีน้ำหนักรับฟัง ส่วนเช็คพิพาทตามเอกสารหมายจ.6 นั้น ได้ความว่า โจทก์จำเลยไปกู้ยืมเงินจากนายสันติชัยแล้วนายสันติชัยได้ช่วยหาเงินจากบุคคลอื่นมาให้ยืมจำนวน 80,000บาทโดยวิธีแลกเช็ค คือ จำเลยสั่งจ่ายเช็คและโจทก์เป็นผู้สลักหลังมอบเช็คนั้นให้นายสันติชัยมอบแก่เจ้าหนี้ ต่อมามีการเปลี่ยนเช็คกันหลายครั้งในที่สุดครั้งสุดท้ายโจทก์นำเงินไปชำระตามเช็คและได้รับเช็คกลับคืนมาแล้ว แต่ไม่บอกให้จำเลยทราบเพื่อจะเอาเงินจากจำเลยต่อไปอีก โดยสั่งนายสันติชัยไว้ว่า เมื่อจำเลยนำเงินมาส่งชำระดอกเบี้ยให้รับไว้ นอกจากนั้นโจทก์ยังแกล้งบอกจำเลยให้จำเลยออกเช็คไปเปลี่ยนเช็คให้เจ้าหนี้ใหม่ด้วย ทำให้จำเลยหลงเชื่อว่ายังมีหนี้อยู่ตามเดิม จำเลยจึงออกเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 ให้โจทก์และโจทก์ได้นำไปฝากนายสันติชัยไว้ เพราะเกรงว่าจำเลยอาจจะพบเห็นเช็คดังกล่าว จะทำให้ไม่ได้เงินจากจำเลยตามที่ตั้งใจไว้พฤติการณ์แห่งคดีทำให้เชื่อได้ว่า โจทก์ทำผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยและนำเงินเหล่านั้นไปชำระหนี้ตามเช็คจนได้เช็คคืนมา ถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนกันเมื่อชำระเงินตามเช็คหมดแล้วจึงไม่มีมูลหนี้อีก แต่ที่โจทก์ไม่บอกให้จำเลยทราบก็อาจเป็นเพราะจำเลยมีภรรยาและบุตรตามกฎหมายอยู่แล้วส่วนโจทก์เป็นภรรยานอกกฎหมายจึงต้องการเงินด้วยการวางแผนดังกล่าวจนในที่สุดจำเลยได้ทราบความจริงจากนายสันติชัย จำเลยจึงไม่นำเงินไปมอบแก่นายสันติชัยอีก ที่จำเลยออกเช็คพิพาทตามเอกสารหมายจ.6 ก็เพื่อให้โจทก์นำไปเปลี่ยนเช็คเดิมจากเจ้าหนี้ด้วยเจตนาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำลวงของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวว่าไม่มีหนี้ต่อกันแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ โจทก์จึงเป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จะถือว่าโจทก์ซึ่งใช้อุบายให้จำเลยออกเช็คพิพาทเป็นผู้ทรงโดยชอบหรือเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทมาจากเจ้าหนี้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหาได้ไม่ จำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น