แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลถูกต้อง มิได้ยื่นรายการเสียภาษีต่ำ กว่ารายได้ ดังนี้ เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นตาม ที่แจ้งการประเมิน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2523 โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 เรียกเก็บภาษีการค้าสำหรับเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2518 เป็นเงิน 10,145.97 บาทสำหรับเดือนมกราคม-ธันวาคม 2517 เป็นเงิน 32,452.03 บาทเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2515และ 2518 เป็นเงิน 83,629.38 บาท และ 138,587.28 บาท ตามลำดับโดยไม่แสดงเหตุผล โจทก์เห็นว่าการประเมินดังกล่าวคลุมเคลือไม่แจ้งชัด ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสกล่าวแก้ โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์การประเมิน แต่ก็ถูกยกอุทธรณ์โดยมิได้แสดงเหตุผล ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสต่อสู้ได้ทั้งโจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าในช่วงระยะเวลาที่ประเมินถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1ได้ทำการตรวจสอบการชำระภาษีอากรทุกประเภทของโจทก์แล้ว มีเหตุผลอันควรเชื่อว่า โจทก์ชำระภาษีไม่ถูกต้อง จึงให้โจทก์นำเอกสารไปแสดงเพื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าโจทก์ชำระภาษีขาดไปจึงทำการประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้า และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 264,814.66 บาท การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เหตุที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์นั้นเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้เรียกตรวจสอบบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์ เอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 นั้น ปรากฎตามรายการในใบรับบัญชีและเอกสาร เอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 87 และ 100 เมื่อเจ้าพนักงานได้ตรวจสอบเอกสารที่โจทก์ส่งให้แล้วได้รวบรวมตัวเลขต่าง ๆ จากเอกสารของบัญชีที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วทำรายละเอียดไว้ ตามเอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 64 ถึง 79 ข้อที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นก็คือ รายรับของโจทก์ที่ปรากฏในเอกสารที่โจทก์ส่งมอบให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 นั้น สูงกว่ารายรับที่โจทก์ยื่นเสียภาษีไว้หรือไม่อย่างไร ในปัญหานี้ ในชั้นที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ไปชี้แจงนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางเพชรรัตน์ปิยะรัตนพิพัฒน์ และนางนิลุบล อังศโวทัย พยานโจทก์ว่าเอกสารต่าง ๆที่โจทก์ส่งให้จำเลยนั้น เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 นำมาให้ตรวจสอบไม่ได้ คงให้แต่นางนิลุบลรับทราบตัวเลขที่เจ้าพนักงานทำขึ้นเท่านั้น และในชั้นพิจารณาของศาลเมื่อโจทก์ขอคำสั่งเรียกเอกสารตามรายการที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 87 ไปยังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ส่งให้ไม่ได้โดยอ้างว่ายังหาไม่พบตามหนังสือของกรมสรรพากรลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 (สำนวนอันดับที่ 25) และในที่สุดก็ไม่มีเอกสารดังกล่าวเข้าสู่สำนวน เอกสารต่าง ๆ ดังที่กล่าวนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 และมิใช่เอกสารจำนวนเล็กน้อยเพราะประกอบด้วยใบขนถ่ายสินค้าถึง 3 แฟ้มและเอกสารเหล่านี้เป็นที่มาของรายได้ที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1อ้างว่ามีจำนวนสูงกว่าที่โจทก์แสดงไว้ในแบบยื่นแสดงรายการเพื่อเสียภาษี การที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏให้เห็นความเป็นจริงว่าจะเป็นดังที่โจทก์อ้างหรือเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 อ้างนั้น จะต้องฟังจากเอกสารเหล่านั้นอันอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้ส่งเอกสารเหล่านั้นมาเพื่อเป็นพยานให้ศาลพิจารณาถึงความถูกต้องแท้จริงว่าการจะเป็นไปในทางใด ที่อ้างว่าหาไม่พบนั้นก็ไม่มีเหตุผลมาแสดงว่าเป็นเพราะเหตุใด รายการรายได้ของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 64 ถึง 79 ที่นางจิราพรสุริยาศศิน เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 อ้างว่าทำขึ้นโดยได้รวบรวมตัวเลขต่าง ๆ จากเอกสารทางบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยที่ 1รวมทั้งใบขนถ่ายสินค้าที่โจทก์ส่งมอบให้ และนำมาแสดงว่าโจทก์มีรายได้มากกว่าที่ยื่นเสียภาษีไว้ นั้น อาจจะเกิดการผิดพลาดในเรื่องตัวเลขหรือในเรื่องรายการ นอกจากนั้นตามคำเบิกความของนางจิราพรก็ได้ความว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเป็นผู้รวบรวมเจ้าหน้าที่ผู้รวบรวมนั้นมีความรู้ในทางบัญชีหรือไม่เพียงใดหรือมีผู้ที่มีความรู้ในทางบัญชีได้ทำการตรวจสอบหรือไม่ ก็ไม่ปรากฎจากการนำสืบของจำเลย เอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 64 ถึง 79 นั้นคงมีแต่ตัวเลขของรายการ ทั้งผู้ที่ทำเอกสารดังกล่าวก็ไม่มีมาเบิกความรับรองความถูกต้องแท้จริงว่าถูกต้องตรงกับเอกสารต้นเรื่องการกระทำเช่นนี้ถ้าฟังเอาว่าเป็นความจริงและถูกต้องแล้วก็จะทำให้มีการเอาเปรียบโดยการปกปิดข้อมูลในเอกสารต้นเรื่องเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างขึ้นมาโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสโต้แย้งเป็นอย่างอื่น เมื่อพิจารณาถึงว่าตัวเลขรายได้ในงบดุลของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 อันดับที่ 92, 97, 130, 139และ 149 มิได้มีตัวเลขสูงกว่าที่โจทก์แสดงไว้ในแบบรายการเพื่อเสียภาษี ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามคำเบิกความของนางเพชรรัตน์พนักงานบัญชีของโจทก์ว่า การชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ถูกต้อง ที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 อ้างว่า โจทก์มีรายได้สูงกว่าจำนวนที่แสดงไว้ในแบบแสดงรายการเสียภาษีนั้นไม่อาจรับฟังได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มิได้ยื่นรายการเสียภาษีต่ำกว่ารายได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นตามที่แจ้งการประเมิน ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นอีก…
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าเลขที่ต.8 1037/3/04484 และ ต.8 1037/3/04485 แบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มเลขที่ ต.8 1037/2/03359 และต.8 1037/2/03361 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 118/2531, 119/2531 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์.