คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างพิพาทกันด้วยสิทธิในเครื่องหมายการค้าว่าใครจะมีสิทธิดีกว่ากัน ซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าโจทก์ กรณีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ ที่บังคับให้โจทก์จะต้องใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือนำคดีไปสู่ศาลภายใน 90 วัน มิฉะนั้นสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือนำคดีไปสู่ศาลเป็นอันสิ้นไป แม้โจทก์จะเคยฟ้องต่อศาลแต่โจทก์ก็ถอนฟ้องคดีดังกล่าวเสีย ซึ่งทำให้ลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้อง เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ใหม่ ก็เท่ากับยื่นฟ้องเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิจะทำได้
แม้โจทก์จะอ้างว่าเป็นเรื่องละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 2 เข้ามาด้วยแต่ในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็เพียงแต่ให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 และมิให้จำเลยที่ 1 ขัดขวางการจดทะเบียนของโจทก์ หาใช่เรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 22ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1135/2516)และเนื่องจากคดีนี้เกี่ยวด้วยการปฏิบัติการชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้คำพิพากษานี้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาท โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ในประเทศอังกฤษและประเทศอื่น ๆ เกือบทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยได้จดทะเบียนไว้ต่อกองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าจำพวกที่ 11 และจำพวกที่ 40 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2517 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาท สำหรับสินค้าจำพวกที่ 38 อันได้แก่เครื่องนุ่งห่มและเครื่องแต่งกาย ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวกที่ 38 เช่นเดียวกับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องคดีต่อศาลแพ่งและได้แจ้งเป็นหนังสือแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อให้ระงับการจดทะเบียนไว้ก่อน ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าจงใจไม่ระงับการจดทะเบียนเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาของศาล กลับรับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ก่อนศาลพิพากษา การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ไม่อาจดำเนินการจดทะเบียนตามสิทธิของโจทก์ได้โจทก์จึงถอนฟ้องคดีดังกล่าว การได้สิทธิของจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ชอบจึงขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนทะเบียนเลขที่ 59439 ออกจากทะเบียนเครื่องหมายการค้า

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทดังกล่าว โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้าจำพวกที่ 11 และจำพวกที่ 40 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนกับสินค้าจำพวกที่ 38 ทั้งจำพวก เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2516 นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ตามทะเบียนเลขที่ 59439 และจำเลยที่ 1 ผลิตสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวตลอดมา โจทก์เพิ่งยื่นคำขอจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2517 จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าการที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งและโจทก์ถอนฟ้องคดีดังกล่าว โจทก์แถลงไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 ต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องใหม่อีก ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และโจทก์ต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 38 ทั้งจำพวก จำเลยที่ 2 จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ทราบว่าขอซ้ำกันให้ตกลงกันเองหรือนำคดีไปสู่ศาล แต่เมื่อครบสามเดือนไม่มีผู้ใดแจ้งให้ทราบว่าได้ดำเนินการไปอย่างใดจำเลยที่ 2 จึงวินิจฉัยรับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 และโจทก์จึงโต้แย้งคัดค้านซึ่งกันและกัน จำเลยที่ 2 จึงวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าโจทก์ และได้แจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ทราบแล้ว เมื่อครบกำหนด 90 วันแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าหรือมีหนังสือแจ้งว่านำคดีไปสู่ศาลแล้ว จึงดำเนินการรับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2520 โดยให้ทะเบียนเลขที่ 59439 ต่อมาวันที่ 3 สิงหาคม 2520 โจทก์จึงแจ้งต่อจำเลยที่ 2 ว่านำคดีไปสู่ศาลแล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังจากครบกำหนด90 วันที่กฎหมายให้ไว้เป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีไปจากศาลแล้วจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 1 จดไว้

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2516 ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2517โจทก์ก็ยื่นคำขอจดทะเบียนเช่นเดียวกัน วันที่ 9 สิงหาคม 2517 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านการขอจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์ นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2518ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำความตกลงกันเองหรือนำคดีสู่ศาลต่อมาเมื่อไม่มีผู้ใดแจ้งให้ทราบ นายทะเบียนเครื่องหมายการค้า จึงวินิจฉัยให้ดำเนินการจดทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งยื่นคำขอไว้ก่อน และประกาศในหนังสือจดหมายเหตุแสดงรายการเครื่องหมายการค้า เพื่อให้ผู้ประสงค์จะคัดค้านได้มีโอกาสคัดค้านต่อมาโจทก์ยื่นคัดค้าน จำเลยที่ 2 จึงส่งคำคัดค้านให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้มีการโต้แย้งเมื่อจำเลยที่ 1 ให้การโต้แย้งแล้ว จำเลยที่ 2 จึงทำคำวินิจฉัยลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2520 ให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดีกว่าโจทก์ และส่งคำวินิจฉัยให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ทราบ พร้อมทั้งแจ้งไปด้วยว่าถ้าไม่พอใจคำวินิจฉัยก็อาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการหรือนำคดีไปสู่ศาลภายใน 90 วัน หากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่า คำวินิจฉัยเป็นที่สุดโจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2520 เมื่อครบ 90 วัน ไม่ได้รับแจ้งว่ามีการยื่นอุทธรณ์หรือได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาล เจ้าหน้าที่จึงทำเรื่องเสนอเพื่อดำเนินการจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2520 ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2520 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งและแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2520 ซึ่งปรากฏภายหลังว่า จำเลยที่ 2 ออกหนังสือคู่มือรับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2520 โจทก์จึงถอนฟ้องคดีดังกล่าวและฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2522

แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างพิพาทกันด้วยสิทธิในเครื่องหมายการค้า ‘MARIGOLD’ ในชั้นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามาแล้วว่า ใครจะมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่ากัน จนกระทั่งนายทะเบียนวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าโจทก์ กรณีก็ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2504 มาตรา 8 ที่บังคับให้โจทก์จะต้องใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือนำคดีไปสู่ศาลภายใน 90 วัน มิฉะนั้นสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือนำคดีไปสู่ศาลเป็นอันสิ้นไป ข้อเท็จจริงในคดีนี้แม้โจทก์จะเคยฟ้องต่อศาลปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7113/2520 ของศาลแพ่งแต่โจทก์ก็ถอนฟ้องคดีดังกล่าวเสีย ซึ่งทำให้ลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้อง เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ใหม่ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2522 ก็เท่ากับยื่นฟ้องเมื่อพ้น90 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิจะทำได้ แม้โจทก์จะอ้างว่าเป็นเรื่องละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 2 เข้ามาด้วยแต่ในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็เพียงแต่ให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 และมิให้จำเลยที่ 1 ขัดขวางการจดทะเบียนของโจทก์ หาใช่เรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วข้างต้น และเนื่องจากคดีนี้เกี่ยวด้วยการปฏิบัติการชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้คำพิพากษานี้มีผลตลอดจนถึงจำเลยที่ 2 ด้วย

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share