แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ทำกันในศาลมีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยรับจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน หากผิดสัญญาไม่ปฏิบัติก็ให้ที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ดังกล่าวนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติได้ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยจะปฏิบัติต่อกันเองตามความสมัครใจ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่งข้าวเปลือกให้ไม่ครบ จำเลยต่อสู้ว่าได้ตกลงกับโจทก์ใหม่และปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้จริง จำเลยก็มิใช่ฝ่ายผิดสัญญา กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป จะพิพากษาให้จำเลยคืนที่พิพาทให้โจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงต่อไปหาได้ไม่
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน2 แปลงแล้วต่อมาโจทก์จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความสำคัญว่า
1. โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยยอมให้โจทก์อาศัยในที่พิพาทตลอดชีวิตโจทก์ และจำเลยจะไม่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์พิพาทในระหว่างที่โจทก์มีชีวิตอยู่
2. จำเลยจะอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โดยจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป และเมื่อโจทก์เจ็บไข้ได้ป่วย จำเลยจะดูแลรักษาและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาล
3. หากจำเลยผิดสัญญาดังกล่าวข้างต้น จำเลยยอมให้ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ทันที และจำเลยจะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าเมื่อเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวของปีตามสัญญาแล้ว จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญา โจทก์ทวงถามจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยทั้งสองแถลงว่า เนื่องจากโจทก์ได้เอาที่นาของจำเลยอีกแปลงหนึ่งไปวางประกันเงินกู้ แล้วโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยขอรับเอาข้าวเปลือกจากจำเลยเพียงปีละ 2 เกวียน จนกว่าจะมอบที่นาที่นำไปวางประกันนั้นคืน จำเลยได้มอบข้าวเปลือกให้โจทก์ 2 เกวียนตามที่ตกลงกันแล้ว จำเลยจึงไม่ผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า “ปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ จำเลยได้ส่งข้าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ 2 เกวียน ซึ่งโจทก์ได้รับเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์แล้ว
จำเลยแถลงว่า ได้ตกลงกันข้างนอกศาลกับโจทก์ โดยโจทก์ยอมรับข้าวไปเพียง 2 เกวียน แล้วโจทก์เอานา 2 แปลงที่จำเลยเคยทำไปให้คนภายนอกเช่า
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์ยอมรับเอาข้าวไว้ 2 เกวียน จากจำเลยเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์นั้น จะฟังว่าจำเลยผิดนัดผิดสัญญายอมยังไม่ถนัด จึงยังไม่อาจบังคับตามสัญญายอมข้อ 3 ได้”
โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าได้ตกลงกับโจทก์นอกศาลยอมรับเอาข้าวเพียง 2 เกวียนนั้น ไม่เป็นความจริง จึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญายอม ขอให้ศาลบังคับ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จะอ้างว่าตกลงกันนอกศาลไม่ได้ และโจทก์ก็ไม่รับรองข้ออ้างนี้เป็นเรื่องที่หากเป็นจริง ก็ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองคืนที่พิพาทให้โจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่โจทก์ยอมรับข้าวเปลือกจากจำเลย2 เกวียนนั้น แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาข้าวเปลือกตามที่ตกลงไว้กับจำเลยจำเลยมิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยมีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยรับจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน หากผิดสัญญาไม่ปฏิบัติก็ให้ที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์นี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติได้ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นโดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความได้ คดีนี้ โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่งข้าวเปลือกให้ไม่ครบ จำเลยต่อสู้ว่าได้ตกลงกับโจทก์ใหม่ และปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่แล้วซึ่งถ้าเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้จริง จำเลยก็มิใช่ฝ่ายผิดสัญญา กรณีจึงจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ได้ความในประเด็นที่จำเลยกล่าวอ้าง แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปความ